อรรถกถา วรรณาโรหชาดก
ว่าด้วย ผู้มีใจคอหนักแน่น
ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์ วันหนึ่ง พระเถระอัครสาวกทั้งสอง พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะได้เข้าเฝ้า พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ ก่อนตรัสเล่าเรื่องราวแห่งอดีตกาล
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะตั้งใจบำเพ็ญเพียรในป่าตลอดพรรษา พวกท่านจึงทูลลาพระพุทธเจ้า ออกจากหมู่คณะ ถือบาตรจีวรด้วยตนเอง ไปพำนักยังหมู่บ้านชายแดน ที่นั่น มีชายคนหนึ่งเป็นเพียงบุรุษกินเดนอาหารของผู้คน แต่เขากลับมีจิตใจเต็มไปด้วยเล่ห์กล เขาเห็นว่าพระเถระทั้งสองมีความกลมเกลียวกันเป็นอย่างยิ่ง จึงเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ "ถ้าหากเราทำให้สองท่านนี้แตกกันได้ คงเป็นเรื่องสนุกไม่น้อย"
วันหนึ่ง ชายผู้นี้เข้าไปหาพระสารีบุตร เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนอบน้อม "พระคุณเจ้า ท่านมีเรื่องบาดหมางใจกับพระมหาโมคคัลลานะหรือไม่?" "เรื่องบาดหมางอะไรกันล่ะ?" พระสารีบุตรถามกลับด้วยรอยยิ้ม
"กระผมได้ยินพระมหาโมคคัลลานะพูดว่า... พระสารีบุตรนั้นสู้ข้าไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเรื่องชาติกำเนิด วรรณะ หรือปัญญา" พระสารีบุตรได้ฟังเพียงเท่านั้นก็หัวเราะเบา ๆ "โอ้... ช่างเถิด อาวุโส ท่านไปเถอะ" เมื่อไม่สำเร็จในครั้งแรก ชายผู้นี้ไม่ลดละ เขาไปหาพระมหาโมคคัลลานะและเล่าเรื่องเดิม แต่คราวนี้กล่าวว่า “พระสารีบุตรกล่าวแต่โทษของท่าน ว่าไม่มีวันเทียบเท่าตัวเขาได้เลย”
แต่พระมหาโมคคัลลานะเพียงแย้มยิ้มก่อนกล่าวว่า "ท่านไปเถอะ อาวุโส" หลังจากนั้น พระเถระทั้งสองได้พูดคุยกัน พระสารีบุตรเอ่ยขึ้น "ชายผู้นั้นมาหาท่านบ้างหรือไม่?" "ใช่ เขากล่าวคำเท็จกับเรา" "เช่นนั้น เราควรนำเขาออกไปจากที่นี่" พระมหาโมคคัลลานะเห็นด้วย ท่านจึงดีดนิ้วเบา ๆ ส่งสัญญาณให้ชายเจ้าเล่ห์ออกไป ชายคนนั้นเห็นว่าความตั้งใจของตนล้มเหลวจึงรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองพระเถระกลับมายังพระเชตวัน เล่าเรื่องทั้งหมดให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์ตรัสขึ้นว่า"ไม่ใช่เพียงชาตินี้เท่านั้นที่บุรุษผู้นี้พยายามทำให้พวกเธอแตกกัน แม้ในอดีตกาล เขาก็เคยทำเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ล้มเหลวเช่นกัน" จากนั้น พระพุทธองค์ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาเล่าให้ฟัง
นานมาแล้ว ในป่าลึกแห่งหนึ่ง ราชสีห์และเสือโคร่งอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทั้งสองเป็นเพื่อนแท้ ช่วยเหลือและปกป้องกันเสมอ
แต่ในป่านั้นมี สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คอยอาศัยกินเดนอาหารของทั้งสอง วันหนึ่ง มันเกิดความโลภ "ถ้าสองตัวนี้ต่อสู้กัน เราคงได้กินเนื้อทั้งคู่" มันคิด ก่อนจะเริ่มต้นแผนร้าย มันเข้าไปหาราชสีห์ เอ่ยด้วยเสียงหวานหู
"ท่านรู้หรือไม่ว่าเสือโคร่งพูดถึงท่านอย่างไร? มันกล่าวว่า ท่านไม่มีทางเทียบเท่ามันได้เลย ทั้งรูปร่าง กำลัง หรือความสามารถ" ราชสีห์เพียงส่ายหน้าแล้วตอบสั้น ๆ " อย่าพูดเช่นนั้นเลย สหายของเราคงไม่กล่าวเช่นนั้น" เมื่อไม่สำเร็จ สุนัขจิ้งจอกจึงไปหาเสือโคร่ง และกล่าวคำยุแหย่แบบเดียวกัน
"ราชสีห์กล่าวว่าท่านอ่อนแอกว่าเขา ไม่มีค่าพอจะเป็นคู่หูเลย!" เสือโคร่งได้ฟังแล้วเกิดความสงสัย จึงไปหาราชสีห์และถามขึ้น "สหาย ท่านกล่าวเช่นนี้จริงหรือ?"
ราชสีห์ถอนหายใจ ก่อนกล่าวคาถาแห่งสัจธรรมว่า "เพื่อนเอ๋ย หากเจ้าจะเชื่อถ้อยคำของผู้อื่น จนเกิดความร้าวฉานในมิตรภาพไซร้ เราคงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป" "ผู้ใดหลงเชื่อคำยุแหย่ของผู้อื่น ย่อมพลัดพรากจากมิตรแท้ และก่อเวรภัยแก่ตนเอง" "ผู้ใดไร้เล่ห์กล ไม่หลงเชื่อคำยุแหย่ของคนพาล ผู้นั้นย่อมนอนหลับอย่างสงบสุข ดุจบุตรน้อยหลับอยู่ในอ้อมกอดมารดา"
เสือโคร่งได้ฟังดังนั้น จึงเข้าใจถึงโทษของการหวั่นไหวต่อคำพูดยุแหย่ มันจึงขอขมาราชสีห์ และทั้งสองก็กลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกครั้ง ส่วนสุนัขจิ้งจอก เมื่อเห็นว่ากลอุบายของตนล้มเหลว ก็หนีไปไกล ไม่กล้าเข้าใกล้อีกเลย
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
สุนัขจิ้งจอกในกาลนั้น ได้เป็นคนกินเดน
ราชสีห์ในกาลนั้นได้เป็น พระสารีบุตร
เสือโคร่งในกาลนั้น ได้เป็น พระโมคคัลลานะ
ส่วนรุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในป่านั้นเห็นเหตุการณ์นั้นโดยจัดแจ้ง เราตถาคต ได้เป็นฉะนี้แล.