อรรถกถา อสทิสชาดก
ว่าด้วย อสทิสกุมาร
ณ พระวิหารเชตวัน ภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนาเรื่อง "มหาภิเนษกรมณ์" การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง พระศาสดาเสด็จมาและตรัสถามว่า "พวกเธอกำลังสนทนาเรื่องอะไร?" เมื่อทรงทราบแล้ว พระองค์ตรัสว่า "เราออกบวชเพื่อแสวงหาสัจธรรม มิใช่แค่ชาตินี้ แต่เคยทำมาแล้วในอดีต" จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องของ อสทิสกุมาร...
นานมาแล้ว ณ กรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตมีพระโอรสพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า อสทิสกุมาร ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้ไร้เทียมทาน" ไม่นานหลังจากนั้น พระอนุชาของพระองค์ก็ประสูติ ได้รับพระนามว่า พรหมทัตกุมาร
เมื่ออสทิสกุมารเจริญวัยถึง 16 พรรษา พระองค์เสด็จไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกสิลา ทรงเชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งปวง โดยเฉพาะวิชาธนู ซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้
ต่อมา เมื่อพระราชาเสด็จสวรรคต พระองค์มีรับสั่งให้มอบบัลลังก์แก่ อสทิสกุมาร และให้พรหมทัตกุมารเป็นอุปราช แต่พระโพธิสัตว์กลับปฏิเสธ ราชสมบัติไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ปรารถนา พระองค์จึงยกราชบัลลังก์ให้น้องชาย แต่แล้ว คำกล่าวร้ายจากข้าราชบริพารบางคนทำให้ พรหมทัตราชา หลงเชื่อว่าพระเชษฐาปรารถนาจะชิงบัลลังก์ พระองค์จึงมีรับสั่งให้จับตัวอสทิสกุมาร
โชคดีที่พระโพธิสัตว์ได้รับข่าวเตือนก่อน พระองค์จึงเสด็จออกจากเมือง และมุ่งหน้าไปยังแคว้นอื่น ทรงปลอมพระองค์เป็นนักธนูรับจ้าง และได้รับราชการกับพระเจ้าสามนตราช ซึ่งให้ค่าจ้างสูงถึง หนึ่งแสนตำลึงต่อปี เหล่านายขมังธนูในวังพากันอิจฉา
จึงทูลให้พระราชาทดสอบฝีมือของเขา วันหนึ่ง พระกษัตริย์และคณะทหารเดินทางไปยังในพระราชอุทยานเมื่อเหล่าชาวบ้านเห็นจึงมากันมานั่งดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวงมะม่วงที่สูงจนไม่มีใครสามารถเก็บได้ จึงรับสั่งให้บรรดานายขมังธนูยิงให้ตก พวกเขากลับกล่าวว่า "เราทำได้แน่นอน พระองค์ก็เคยเห็นฝีมือของพวกเราแล้ว แต่คนที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดควรเป็นผู้ทำ พระเจ้าข้า!"
"เจ้าสามารถยิงให้มะม่วงพวงนั้นตกได้หรือ?" พระราชาตรัสถาม อสทิสกุมารตอบอย่างมั่นใจ "ขอเพียงมีที่ว่างเหมาะสม ข้าพระองค์ทำได้แน่นอน"
หลังจากได้รับพื้นที่สำหรับตั้งท่ายิง พระองค์เตรียมพร้อม ชักธนูออกจากที่เหน็บ แหวกม่านออกมา ราวกับพญานาคแหวกพื้นปฐพี พระองค์ขึ้นสายธนู ทอดพระเนตรพระราชาแล้วตรัสว่า
"พระองค์ต้องการให้มะม่วงตกลงมาโดยศรที่พุ่งขึ้น หรือศรที่พุ่งลง?" พระราชาทรงแปลกพระทัยและตรัสว่า "เราเคยเห็นแต่คนยิงศรพุ่งขึ้น แต่ยิงศรพุ่งลงเรายังไม่เคยเห็น เจ้าจงลองให้เราดู!"
อสทิสกุมารพยักพระพักตร์ แล้วยิงศรดอกแรกขึ้นไป ทะลุระหว่างขั้วของพวงมะม่วง ศรพุ่งสูงจนทะลุไปถึงแดน จาตุมหาราชิกา (ชั้นฟ้าของท้าวมหาราชทั้งสี่) จากนั้น พระองค์จึงยิงศรอีกดอก ให้กระทบศรแรก ส่งให้มันวกกลับลงมาตัดพวงมะม่วง โดยไม่มีการคลาดเคลื่อนแม้ปลายเส้นผม
ในเสี้ยววินาที มือข้างหนึ่งรับพวงมะม่วง มืออีกข้างรับลูกศร ได้อย่างแม่นยำ! มหาชนพากันตะลึง เสียงปรบมือดังกึกก้อง พระราชาทรงประทานรางวัลก้อนโตและตำแหน่งอันสูงส่งให้พระองค์
ขณะเดียวกัน พระราชาเจ็ดพระนคร เมื่อรู้ว่า อสทิสกุมารไม่อยู่พาราณสี ก็ยกทัพมาล้อมเมือง ส่งสารถึง พรหมทัตราชา ว่า"เจ้าจะยอมมอบราชสมบัติ หรือจะสู้?" พรหมทัตราชาตกพระทัย ทรงคิดถึงพระเชษฐา และส่งทูตไปขอให้เสด็จกลับมา ทรงตรัสว่า
"หากพระเชษฐาของเราไม่กลับมา เราก็คงไม่มีชีวิตอยู่ได้"
อสทิสกุมารเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงยืนอยู่บนป้อมปราการ แผลงศรดอกหนึ่งไปยังโต๊ะเสวยของกษัตริย์ทั้งเจ็ด โดยมีข้อความจารึกว่า "เรากลับมาแล้ว หากยังไม่ถอย เราจะยิงอีกครั้ง คราวนี้จะไม่มีชีวิตใดเหลือรอด" เมื่อเหล่ากษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นพระอักษรที่ปลายลูกศร ก็ทรงหวาดกลัว รีบถอนทัพกลับบ้านเมืองของตน โดยไม่มีเลือดสักหยดต้องพื้นดิน
หลังจากนำความสงบสุขคืนสู่บ้านเมือง อสทิสกุมาร ทรงตัดสินพระทัยสละทุกสิ่ง เสด็จออกบวชเป็นฤๅษี ประกอบสมาธิจนได้อภิญญา และเมื่อสิ้นพระชนม์ ก็ไปบังเกิดยังพรหมโลก
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ อย่างนี้แล้ว ทรงประชุมชาดก
พระกนิษฐภาดาในครั้งนั้น ได้เป็น อานนท์ ในครั้งนี้
ส่วนอสทิสกุมาร คือ เราตถาคต นี้แล.