อรรถกถา มูลปริยายชาดก
ว่าด้วย กาลเวลากินสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง
ครั้งหนึ่ง พระศาสดา ประทับอยู่ที่สุภควัน แห่งเมืองอุกกัฏฐธานี ได้ตรัสมูลปริยายสูตรขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยพุทธพจน์ที่ว่า "กาโล ฆสติ ภูตานิ" แปลว่า "กาลเวลากินสัตว์ทั้งปวง"
ในกาลนั้น มีพราหมณ์ ๕๐๐ คน ศึกษาไตรเพทจนเชี่ยวชาญ แล้วออกบวชในพระพุทธศาสนา แต่ด้วยความทะนงตน เพราะตนเองรู้ไตรเพทดี คิดเปรียบเทียบตนกับพระพุทธเจ้าว่า "เราก็รู้ไตรเพทเหมือนกัน แล้วพระองค์จะต่างอะไรกับเรา?" จึงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ไม่ยอมเข้าเฝ้า
ต่อมา เมื่อพระศาสดาแสดง มูลปริยายสูตร อันละเอียดลึกซึ้ง ทรงอธิบายถึงภูมิทั้ง ๘ อย่าง ภิกษุพราหมณ์เหล่านั้นแม้จะมีวิชามาก แต่ไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว! พวกเขาจึงเริ่มสำนึกได้ว่า ความทะนงของตนเป็นเพียงความโง่เขลา ชื่อว่าผู้ฉลาดเทียบเท่าพระพุทธเจ้าหาได้มีไม่ และรู้ซึ้งถึงความน่าอัศจรรย์แห่งพระพุทธคุณ ตั้งแต่นั้น ความทะนงตนของพวกเขาก็เหมือนงูพิษที่เขี้ยวถูกถอนออกแล้ว ไม่หลงผิดอีกต่อไป
หลังจากนั้น พระศาสดาเสด็จไปกรุงเวสาลี ตรัส โคตมกสูตร ที่พระเจดีย์โคตมกะ ทำให้โลกธาตุทั้งหมื่นสะเทือนสะท้าน ภิกษุเหล่านั้นเมื่อฟังจบ ก็ได้บรรลุพระอรหัต.
ครั้งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระพุทธานุภาพ! ทำให้พราหมณ์ผู้ทะนงตนกลับกลายเป็นผู้มีจิตอ่อนน้อมได้ด้วยธรรมเทศนาเพียงครั้งเดียว"
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่?" เมื่อทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ก็ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่เพียงครั้งนี้เท่านั้น แม้ในอดีตกาล เราก็เคยทำให้พวกหัวแข็งหมดความทะนงมาแล้ว"แล้วทรงเล่าเรื่องในอดีต ดังนี้
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เติบโตขึ้นเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้มีศิษย์ ๕๐๐ คน
เมื่อศิษย์เหล่านั้นร่ำเรียนไตรเพทจนจบ และสอบไล่ได้ ก็เกิดความหลงตนว่า "เรารู้หมดแล้ว อาจารย์เองก็รู้อย่างเรา จะต้องเคารพไปไย?" พวกเขาจึงไม่ไปทำวัตรต่ออาจารย์
วันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์นั่งใต้ต้นพุทรา พวกมาณพผู้หยิ่งยะโสก็เดินเข้ามา เคาะต้นพุทรา แล้วพูดเยาะเย้ยว่า "ต้นไม้นี้ไม่มีแก่น" (เปรียบเปรยอาจารย์ว่าเป็นผู้ไร้สาระ) พระโพธิสัตว์รู้ทันความคิด จึงกล่าวกับพวกเขาว่า "เราจะถามปัญหาข้อหนึ่ง ใครตอบได้บ้าง?"พวกมาณพต่างยิ้มเยาะตอบว่า "เชิญถามมาเถิด อาจารย์!"
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถาว่า "กาลเวลาย่อมกินสัตว์ทั้งปวง พร้อมทั้งตัวมันเอง ผู้ใดกินกาลได้ ผู้นั้นเผาตัณหาอันเผาสัตว์เสียได้" พวกมาณพได้ฟังแล้ว ตกตะลึง ไม่มีใครตอบได้แม้แต่คนเดียว
พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า "อย่าเข้าใจผิดว่าปัญหานี้มีอยู่ในไตรเพท พวกเจ้าทะนงว่ารู้เท่าอาจารย์ แต่ความจริงอาจารย์รู้อะไรๆ อีกมากที่พวกเจ้ายังไม่รู้ ขอเวลา ๗ วัน กลับไปคิดให้ดี"
พวกมาณพพากันกลับไปคิดทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่อาจไขปัญหาได้ ครั้นครบกำหนดจึงมาสารภาพอย่างอับจน พระโพธิสัตว์จึงตำหนิพวกเขาด้วยคาถาอีกว่า "แม้ศีรษะของมนุษย์จะมีมาก ผมดำยาวปกคอ แต่หาคนมีปัญญาสักคนหนึ่งก็ไม่มี!"
เปรียบเหมือนมีแต่หัวไว้ใส่ผม ไม่มีปัญญาเลยแล้วพระโพธิสัตว์จึงเฉลยว่า "กาล" หมายถึงเวลา ที่ค่อยๆ บั่นทอนชีวิตสัตว์ แม้ตัวมันเองก็ค่อยๆ หมดไปตามกาล "ผู้กินกาล" หมายถึง พระขีณาสพ คือผู้ตัดวงจรแห่งชาติภพ ไม่กลับมาเวียนว่ายอีก เขาเผาตัณหาได้ด้วยไฟแห่งญาณ
มาณพทั้งหลายฟังแล้วซาบซึ้ง ตระหนักในพระปรีชาของอาจารย์ ยอมขอขมา แล้วกลับมาปรนนิบัติตามเดิม
พระศาสดาทรงสรุปว่า
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดก.
มาณพทั้ง ๕๐๐ ในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุเหล่านี้
ส่วนอาจารย์ คือ เราตถาคต นี้แล.