เรื่องที่ ๓๔๘เศรษฐีกรณีพิเศษ
ในยุคไอเอ็มเอฟอย่างนี้ บางคนถูกปลดจากงานบ้าง ถูกลดเงินค่าจ้างบ้าง แต่สำหรับผมนั้น สวนกระแสครับ
คุณธีรพงษ์ ลาเลิศ และภรรยา ประสบแต่ความสำเร็จด้วยอานุภาพบุญ |
คุณธีรพงษ์ ลาเลิศ ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ที่มีชื่อเสียงในด้านบริการรักษาความปลอดภัยและดูแลความสะอาดแห่งหนึ่ง มีความเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัย เป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งยังตั้งใจทำทาน รักษา ศีล และเจริญสมาธิภาวนา ทำให้ชีวิตมีแต่ความเจริญก้าวหน้าทั้งในหน้าที่การงาน และประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง เมื่อประสบปัญหาในการทำงาน หรือเมื่อตั้งความปรารถนาในทางที่ถูกที่ควร ก็มักจะประสบความสำเร็จ
คุณธีรพงษ์ได้เข้าวัดพระธรรมกายเมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๔ มีความเชื่อมั่นว่า ความดีของตนเองที่ได้เพียรสั่งสมไว้ ย่อมไม่สูญหายไปไหน เมื่อชีวิตพบกับภาวะคับขันบุญก็จะคอยช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย มีความสุขอยู่เสมอ
ในภาวะปัจจุบันยุคไอเอ็มเอฟ ทุกคนต่างได้รับผลกระทบ ถูกปลดจากงานบ้างถูกลดเงินค่าจ้างบ้าง แต่คุณธีรพงษ์บอกว่าในภาวะเช่นนี้ วิถีชีวิตของเขากลับสวนกระแส คือในช่วงตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๑ ทางผู้ใหญ่ของบริษัทเห็นว่าคุณธีรพงษ์ขยันและตั้งใจทำงาน จึงปรับเงินเดือนขึ้นให้เป็นพิเศษ เขาบอกว่า ปรับครั้งแรกในช่วงต้นปีเพิ่มขึ้น ๒,๕๐๐ บาท หลังจากนั้นอีก ๓ เดือนประมาณกลางปี ๒๕๔๑ ปรับเงินให้อีก ๑,๐๐๐ บาท รู้สึกมีกำลังใจที่หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า และในช่วงเดือนตุลาคมก็ได้มาร่วมงานปิดเจดีย์ภายนอก วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ได้พบเหตุการณ์อัศจรรย์ตะวันแก้วร่วมกับคนอื่นๆ อีกนับหลายหมื่นชีวิต ณ มหาธรรมกายเจดีย์ จึงรีบอธิษฐานจิตขอให้ชีวิตได้พบแต่สิ่งดีๆ ในช่วงปลายปี ก็ได้รับข่าวดีอีกครั้งใหญ่ ทางบริษัทปรับเงินเดือนขึ้นให้อีก ๘,๕๐๐ บาทพร้อมกับได้รับตำแหน่งใหม่ และโบนัสพิเศษอีกต่างหาก ซึ่งสรุปว่าในหนึ่งปีแห่งบุญกุศลนี้ คุณธีรพงษ์ได้เงินเดือนขึ้นทั้งหมด ๑๒,๐๐๐ บาท
|
|
รายคุณธีรพงษ์เล่าเรื่องความโชคดีในอาชีพการงาน มีความรุ่งเรืองทั้งเงินเดือนตำแหน่งสวนกระแสเศรษฐกิจของคนทั่วไป ทำให้เชื่อมั่นในอานุภาพของการประกอบบุญกุศลมาก ซึ่งเป็นความจริงอย่างยิ่ง เพราะเข้าวัดสั่งสมบุญกุศลทำทาน รักษาศีล ฟังธรรม และเจริญภาวนามาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๔ ไม่เคยมีความรู้สึกหวั่นไหวและคลอนแคลนในการทำความดี ระหว่างระยะเวลาทางวัดและพระเดชพระคุณหลวงพ่อถูกโจมตีก็ไม่เคยนึกย่อท้อในการประกอบบุญกุศล เรียกว่าเป็น อจลศรัทธา ศรัทธาที่มั่นคงจริงๆ ผลบุญจึงเกิดมากทันตาเห็นเป็นพิเศษ
โดยปกติการกระทำดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ที่จะเกิดเป็นกุศลกรรมขึ้นนั้นในทางธรรมถือว่า เจตนาในใจขณะกระทำนั่นเองเรียกว่า กรรม เช่นแพทย์ทำการรักษาเป็นการทำความเจ็บปวดให้ ต้องการให้คนไข้หายจากโรคภัย เจตนานั้นเป็นกุศลจึงได้ผลเป็นบุญ ทั้งที่การรักษาเป็นการทำความเจ็บปวดให้ก็ตาม
คุณธีรพงษ์สั่งสมกรรมดีมาเกือบ ๑๐ ปี มีเจตนาบริสุทธิ์ในขณะลงมือกระทำ สามารถอุปการะทั้งร่างกายและจิตใจให้ได้รับแต่สิ่งดีๆ ในขณะนั้น เรียกว่าเป็นเจตนาที่เป็นสหชาตกัมมปัจจัย
เมื่อกระทำความดีเหล่านั้นผ่านไปแล้ว เจตนาบริสุทธิ์ในการทำความดีที่เคยเกิดขึ้นขณะทำก็ยังตามมาเป็นปัจจัย ช่วยอุปการะแก่นามและรูป (จิตใจและร่างกาย) ที่เกิดตามมาในอนาคต โดยอาศัยอำนาจแห่งกรรมนั้นได้อีก เรียกว่า นานักขณิกกัมมปัจจัยซึ่งเป็นผลกรรมที่สามารถได้รับทั้งในปัจจุบันชาติ และภพชาติเบื้องหน้า โดยเกิดผลได้ทั้งสองเวลาคือขณะปฏิสนธิกาล (เวลาถือกำเนิด) และปวัตติกาล (เวลาดำรงชีวิตอยู่)
ความโชคดีต่างๆ ที่คุณธีรพงษ์ได้รับดังที่เล่ามา แสดงว่าผลของกรรมดี (บุญ) ที่เจ้าตัวกระทำไว้ กำลังส่งผลในปัจจุบันทันตาเห็น ไม่ต้องรอชาติหน้า เป็นที่น่าดีใจด้วย
การทำความดีทุกชนิด จะได้รับผลน้อยหรือมาก ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เช่นการบริจาคทาน ต้องตั้งเจตนาบริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ และวัตถุทานบริสุทธิ์
เจตนาบริสุทธิ์ เช่นบริจาคทรัพย์ทำทานเพื่อลดความตระหนี่ของตนเอง เพื่อช่วยเหลืองานพระศาสนา ให้พระภิกษุ-สามเณรทำการอบรมเผยแผ่หลักธรรมเพื่อประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่เจตนาบริจาคเพื่ออยากรวย เห็นคนอื่นบริจาคแล้วประสบโชคลาภ อยากได้อย่างนั้นบ้าง ก็บริจาค กลายเป็นเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นทำทานด้วยความโลภ ผลบุญไม่เกิด แทนที่จะเข้าใจ กลับพาลน้อยใจบุญไปเสีย นี่เรียกว่าตั้งเจตนาผิด
ผู้รับบริสุทธิ์ หมายถึงผู้รับเป็นผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม ถ้าเป็นพระภิกษุก็ต้องมีศีลาจารวัตรงดงามมีสมณธรรมทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ พร้อมเป็นผู้ทรงคุณมากเท่าใด ผลบุญเกิดขึ้นมากเท่านั้น
ผู้ให้บริสุทธิ์ ก็ทำนองเดียวกัน เป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมอันดีงาม เหมือนทำตัวเป็นภาชนะที่ดี เมื่อผลบุญเกิด ย่อมสามารถรองรับไว้ได้เต็มที่ หากเป็นคนไม่มีศีลธรรม ย่อมเหมือนภาชนะรั่ว ใส่สิ่งใดก็รั่วไปเสียหมด ทำบุญอะไรได้มา ก็ถูกบาปอกุศลที่ตนทำขึ้นปิดกั้น ไม่ให้บุญส่งผล แล้วมาน้อยใจว่าบุญทำไว้ไม่ได้ผล ไม่ถูก
วัตถุที่นำมาทำทานบริสุทธิ์ คือได้ทรัพย์นั้นมาด้วยพฤติกรรมที่ดีงาม เช่นจากอาชีพสุจริตไม่ผิดทั้งกฎหมาย ไม่ผิดทั้งศีลธรรม และวัตถุที่ตั้งใจทำทานนั้น เป็นประโยชน์เป็นที่ตั้งแห่งกุศล ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยั่วยุให้อกุศลเกิด
การทำความดีด้วยการรักษาศีล ก็ทำนองเดียวกัน ตั้งเจตนาให้ถูกทาง คือ เพื่อกำจัด ขัดเกลากิเลสในจิตใจตนเองให้ลดน้อยเบาบาง ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อโอ้อวดตน ให้ผู้คนยกย่อง
หรือการเจริญภาวนา ก็เพื่อให้ได้ปัญญา ใช้ปัญญานั้น ให้ประหารกิเลสในสันดานตนเองให้สิ้นไป ไม่ใช่เมื่อภาวนาแล้ว จะต้องได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ เห็นโน่น ได้ยินนี่ ไม่ได้ตามอยากเลยพาลเครียด กลุ้มใจ ผิดวัตถุประสงค์ไปเสีย
ด้วยเหตุนี้จึงควรระลึกว่า การทำความดีนั้น ผลของความดีมีอยู่ แต่จะเกิดให้เจ้าของได้รับเมื่อใดนั้น มีปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ทางที่ดีแล้วควรทำความดีอย่างไม่ต้องหวังผลอะไรเป็นดีที่สุด