อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

พระมหาสิริราชธาตุ รุ่นดูดทรัพย์ สำหรับ ผู้สร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์นั้น จะได้รับของที่ระลึกเป็นพระธรรมกายของขวัญ

อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ เรื่องที่ ๓๕๒ประสานงาน

เรื่องที่ ๓๕๒ประสานงาน



วินาทีถัดมา พอเงยหน้ามองไปที่หน้ารถ ก็เห็นกันชนของรถโฟร์วีลประจันหน้ากันแล้ว

 

 
 
 
คุณอุรารัตน์ ไชยรังษี
 
 

คุณอุรารัตน์ ไชยรังษี อยู่เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ มาวัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ และรักการทำบุญร่วมบุญเกือบทุกกิจกรรม ทั้งปล่อยปลา และปฏิบัติธรรม พิเศษคือการรวมกันไปนั่งสมาธินอกเหนือจากการมาวัด เลือกสถานที่สงบเป็นธรรมชาติและสวยงาม ให้ได้บรรยากาศที่เจริญตาและเจริญใจ

เธอเล่าว่าจุดเริ่มต้นของการสร้างบุญสร้างบารมีที่วัดพระธรรมกายเมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.๒๕๔๐ ได้มีเพื่อนชื่อคุณอรนงค์ เอกชูเกียรติ มาชวนอยู่ธุดงค์ต้อนรับปีใหม่ เริ่มตั้งแต่ วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ถึง วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๐ รวม ๕ วัน ฟังดูก็น่าสนใจ เป็นการฉลองพุทธศักราชใหม่ที่ดีกว่าปีก่อนๆ แต่ยังไม่ตอบรับ เอาไปนอนคิดก่อน คิดไปคิดมาก็นึกถึงน้องชายที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป ขณะที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ประกอบกับความรักความผูกพันในตัวน้องชายด้วย จึงตัดสินใจจะไปอยู่ธุดงค์ ๕ วัน เพื่อจะได้อุทิศผลบุญไปถึงผู้ที่จากไป เมื่อได้เข้าถึงบริเวณวัดครั้งแรก ก็ประทับใจ สถานที่สะอาดเป็นระเบียบ แต่ก็มีปัญหาคาใจอีกหลายๆ เรื่องที่เป็นคำถาม ในระหว่างที่อยู่ธุดงค์ ๕ วันนี้ ก็ศึกษาไปเรื่อยๆ และทุกคำถาม ก็จะพบคำตอบที่สามารถไขข้อข้องใจของเธอได้ ทั้งฟังจากพระภิกษุและหาหนังสือที่มีให้ค้นอ่าน ประทับใจการตักบาตรในตอนเช้า อยู่จนกระทั่งปิดธุดงค์ ต่อมาเพื่อนชวนมาร่วมพิธีบูชาข้าวพระ จึงเริ่มเข้าใจเรื่องการทำบุญทำอย่างไร ผลของทานจะให้ผลมากน้อย แตกต่างกันไปตามเหตุ ตามปัจจัย หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญที่ตนเองทำมาอย่างสม่ำเสมอ โดยการสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน


ยิ่งในช่วงสร้างพระสร้างเจดีย์คุณอุรารัตน์ก็มีโอกาสได้สร้างพระประจำตัว และได้รับพระมหาสิริราชธาตุมาไว้บูชาอยู่หลายองค์ ตอนเช้าสวดสรรเสริญ ๓ จบ และตอนเลิกงานอีก ๓ จบ แม้วันใดจะกลับดึกเธอก็ไม่เคยเว้นในการสวดเลย และขณะทำงานก็จะสวดไปด้วยถ้าเวลาเอื้ออำนวย

สภาพรถ BMW ของคุณอุรารัตน์ หลังจากชนประสานงากับรถมิตซูบิชิโฟร์วีล
 
 

ปัจจุบันเธอทำงานที่บริษัทคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง เธอประสบอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ เมื่อเร็วๆนี้ เธอเล่าว่าวันนั้นตรงกับวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ตอนเย็นได้ไปงานเลี้ยงแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่กับลูกค้าพร้อมกับเพื่อนที่ชื่อประชา และตอนเลิกจะขับรถกลับบ้านในวันนั้น ก็เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะปกติจะกลัดพระมหาสิริราชธาตุของเธอเองไว้ที่คอเสื้อ แต่ในวันนั้นลืมก็ได้เล่าให้คุณประชาฟัง คุณประชาอาสาว่าจะขับรถไปส่ง ก็บอกไปว่าไม่เป็นไรเพราะขับอยู่ทุกวัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี คุณประชาจึงนำพระของเขาให้เธอกลัดแทน ก็ขับจากซอยอุดมสุขถึงทางแยกจะขึ้นทางด่วนซอยสุขุมวิท ๖๒ พอขับเลี้ยวขึ้นบนทางต่างระดับเพื่อจะไปที่ด่านเก็บเงินค่าทางด่วน พอขึ้นทางต่างระดับเธอก็ขับชิดเลนขวาทันที โดยที่ลืมดูไปเลยว่าถนนเป็นวันเวย์หรือทูเวย์ ขณะเวลาที่จะเกิดเหตุรู้สึกตอนนั้นถนนเงียบมาก วินาทีถัดมาพอเธอเงยหน้ามองไปที่หน้ารถ ก็เห็นกันชนของรถมิตซูบิชิโฟร์วีลประจันหน้ากันแล้ว ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ รถทั้งสองคันวิ่งตรงเข้ามาประสานงากันอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประกายไฟจากโลหะของรถทั้ง ๒ กระทบกัน ประทุแตกกระจายไปทั่วบริเวณนั้น ร่างกายเธอบริเวณหน้าอกและศีรษะกระแทกกับพวงมาลัยทันที เธอวูบไปชั่วขณะหนึ่ง พอเหตุการณ์สงบลงเธอได้สติก็สำรวจตัวเองก็เห็นว่าเรายังปลอดภัย ยังมีชีวิตอยู่ ก็รีบออกมาจากรถ ส่วนคู่กรณีก็รีบลงมาจากรถเช่นกัน และก็เข้ามาต่อว่าเธอยกใหญ่ เพราะเธอเป็นฝ่ายผิดที่ขับรถมาอยู่ในเลนของเขา ซึ่งเธอก็ยอมให้เขาว่าโดยไม่เถียงเลย เพราะรู้ว่าตนเองผิด ในขณะที่กำลังงงกับเหตุการณ์อยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือที่คุณประชาลืมไว้บนรถก็ดังขึ้น เธอรีบรับสายและได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คุณประชาฟัง เพื่อนตกใจมาก และรีบนั่งรถแท๊กซี่ตามมาที่สถานที่่เกิดเหตุทันที


เจ้าของรถมิตซูบิชิ บอกว่าในขณะที่เห็นรถของเธอตอนนั้นจำเป็นต้องตัดสินใจไม่หักหลบและยอมให้ชน เพราะถ้าหักหลบตอนนั้นก็จะไปชนกับรถมอเตอร์ไซค์อีกคันที่อยู่เลนซ้ายซึ่งเป็นอันตรายมากกว่า เมื่อคุณประชามาถึงที่เกิดเหตุจึงรีบเข้ามาดูอาการของคุณอุรารัตน์ และก็พาไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าปลอดภัยไม่ต้องนอนพัก ซึ่งพอคุณหมอทราบว่าเกิดจากเหตุเพราะรถประสานงากันก็แปลกใจที่ไม่มีบาดแผลร้ายแรง มีเพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น

 
คุณอุรารัตน์ ภายหลังจากอุบัติเหตุรถประสานงา ซึ่งคุณอุรารัตน์มีเพียงแค่รอยฟกช้ำเท่านั้น  
 

จากนั้นก็ไปที่สถานีตำรวจ พอดีวันนั้นคุณประชาใส่เสื้อหยุดแขนยาวสีขาวอยู่ ได้ไปพบผู้กองที่รับเรื่องของเธอ พอเห็นเสื้อที่ใส่ปุ๊บประโยคที่ท่านทักถามคำแรกคือ "ไปวัดนี้หรือ" และเขาก็เห็นพระที่เธอกลัดห้อยอยู่ ผู้กองก็หยิบองค์พระมหาสิริราชธาตุมาให้ดู และได้กล่าวว่า ผมก็ได้มาร่วมบุญที่วัดนี้เหมือนกัน ซึ่งตอนนั้นพอดีคู่กรณีกลับไปก่อนแล้ว ซึ่งเขาขอนัดเจอกันวันรุ่งขึ้น จึงได้คุยกันเรื่องวัดกับผู้กองสักครู่ จากนั้นก็ลากลับ พอกลับถึงที่พัก ก็รีบนั่งสมาธิ นึกถึงบุญ อธิษฐานขอให้เรื่องจบลงอย่าได้เอาเรื่องเอาราวอะไรเลย และขอร่างกายของเธอที่ฟกซ้ำให้หายไวๆ อย่าเป็นอะไรมาก


รุ่งเช้าไปที่โรงพักความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คู่กรณีบอกไม่เอาความขอให้เลิกแล้วต่อกันทั้งที่ในแง่กฎหมายเธอผิด ๑๐๐% ตกลงเรื่องที่ว่าดูจะยุ่งยากก็จบลงง่ายๆ เธอบอกช่วงอยู่ในเหตุการณ์เธอจะนึกถึงบุญอย่างเดียว ที่รอดมาได้เพราะบุญ เรื่องจบลงโดยง่ายก็เพราะบุญ จึงต้องรีบประกอบเหตุทางมาแห่งบุญเพิ่ม โดยในช่วงนั้นเป็นสัปดาห์ปฏิบัติธรรมวันวิสาขบูชา จึงมาอยู่ปฏิบัติธรรม ๑ สัปดาห์ จากการปฏิบัติธรรมครั้งนั้นก็ยิ่งทำให้ตระหนักและเข้าใจถึงคุณค่าของความสำคัญของบุญว่า บุญนั้นเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสุขของชีวิตทั้งหลายทั้งปวง

 

รายนี้คุณอุรารัตน์ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้คนทั่วไปที่สงสัยการทำงานของวัด เข้าวัดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ นี้เอง เพราะได้รับการชักชวนให้ไปอยู่ธุดงค์ในเทศกาลปีใหม่ บังเอิญน้องชายเพิ่งเสียชีวิต คิดต้องการสร้างบุญกุศลอุทิศให้น้อง จึงลองไปวัด เมื่อไปอยู่ธุดงค์ ๕ วันครั้งนั้น ข้อสงสัยทั้งหมดกระจ่างแจ้งทุกประการ


นี่ถ้าคนช่างติติง ช่างสงสัยทั้งหลาย ทดลองกระทำอย่างคุณอุรารัตน์ คงจะได้บุญกันไปไม่น้อย อย่างน้อยตนเองหายสงสัย ยังช่วยป้องกันไม่ให้ทำบาปเพิ่มด้วยการกล่าวร้ายตามคำพูดของผู้อื่น เพราะทราบความจริงถ่องแท้ด้วยตนเอง

สำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามที่เล่ามา หากให้สันนิษฐาน น่าจะเป็นบาปอกุศลเก่าตามมาทวงหนี้ เพราะเริ่มต้นมาตั้งแต่การลืมนำพระมหาสิริราชธาตุติดตัวก่อนออกจากบ้าน จนเพื่อนเป็นห่วงต้องให้ยืม และยังสังหรณ์ใจจนคิดจะตามกลับมาส่งอีก เมื่อตามไม่ได้ก็ยังติดต่อทางโทรศัพท์มือถือ กระทั่งมาให้การช่วยเหลือทันเวลาขณะกำลังประสบอุบัติเหตุ

ตัวคุณอุรารัตน์เองเล่าว่า ขับรถเหมือนไม่ใคร่รู้เรื่องว่าทางใดไปไหน วันเวย์ ทูเวย์ ซึ่งเป็นอาการของคนที่ถือกันว่า กำลังมีเคราะห์ คือมีอกุศลวิบากเก่าตามมาทวงหนี้ คนประเภทนี้มักรู้สีกเหมือนตนเองใจลอย คิดอะไรไม่ออก บางคนเห็นเป็นภาพลวงตาด้วยซ้ำไป เห็นมีคนยืนขวางถนน ทำให้ต้องขับรถหักหลบไปจนเกิดอุบัติเหตุ บางทีเห็นสัญญาณไฟจราจร สีเขียวเป็นสีแดง สีแดงเป็นสีเขียว ขับรถผิดจนมีอุบัติเหตุ ที่มีเคราะห์หนักบางราย พวงมาลัยรถมีอาการหนักจนหักไม่ได้ พุ่งตรงดิ่งเข้าชนเอาเลย เรื่องราวเหล่านี้ เป็นหลักฐานชัดเจนว่า แรงใดไม่เท่าแรงกรรมจริงๆ กรรมนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนานั่นแหละคือตัวกรรม" หมายถึงว่าเราจะทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตามสำเร็จออกมาได้ จนเรียกว่าเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมนั้น ต้องมาจากจิตใจเป็นผู้บงการสั่งกาย วาจาให้ทำตาม แต่จิตใจที่จะคิดเรื่องใดขึ้นมาได้ก็ตาม จะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างมาร่วมทำงานด้วย เจตนาเป็นเจตสิกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการทำงานของจิต มีหน้าที่แสวงหา หรือขวนขวายที่จะให้เป็นไปในอารมณ์ หรือความตั้งใจ หรือความสำเร็จที่ต้องการให้เกิด

 

เพราะฉะนั้นการกระทำให้ที่มีเจตนา ย่อมถือว่าการกระทำนั้นเป็นกรรม รายคุณอุรารัตน์ คงเป็นกรรมฝ่ายอกุศลที่เคยทำเอาไว้ในอดีต ไม่ทราบชาตินี้หรือชาติไหนๆ ตามมาทัน ทำให้ต้องพบกับรถคู่กรรม ทำให้ร่างกายฟกซ้ำดำเขียว และรถเสียหายยับเยิน ค่าซ่อมต้องสูงมากเพราะยี่ห้อมีราคา ซึ่งอาจเป็นทั้งเวรปาณาติบาต ทำร้ายเจ้าของทรัพย์ที่ตนเคยแย่งชิงเอามา เป็นเวรอทินนาทานอีกประการหนึ่ง กรรมทั้งสองดังกล่าวตามมาเบียดเบียนชีวิตคุณอุรารัตน์


ขณะเดียวกัน กรรมฝ่ายดีที่ได้สร้างบุญกุศลไว้ที่วัดพระธรรมกายหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการสวดสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยอยู่เสมอ แม้แต่ฟังเทปก็เป็นเทปบทสวดสรรเสริญบ้าง เทปเพลงธรรมบ้าง บุญกุศลที่บังเกิดขึ้นจึงตามมาตัดรอนกำลังของบาปให้อ่อนลงไป บาดเจ็บก็ไม่หนักมากถึงพิการหรือเสียชีวิต การเสียทรัพย์ก็เป็นเพียงซ่อมรถของตนเอง ส่วนคู่กรณีซึ่งเป็นฝ่ายถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ กลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ไม่เอาความ ขอเลิกแล้้วต่อกัน ต่างคนต่างซ่อมรถของตนเอง อาจเป็นบุญญานุภาพที่คุณอุรารัตน์ประกอบไว้มากในระยะนี้ บุญนั้นเองเป็นแรงกรรมดีส่งผลให้ รวมทั้งเทวานุภาพในองค์ พระมหาสิริราชธาตุประกอบเข้าด้วยกัน เรื่องหนักกลายเป็นเบา

ด้วยเหตุนี้ การมีความเชื่อว่า บุญเป็นที่พึ่งได้ จึงมิใช่เรื่องเหลวไหล บุญก็คือแรงของกรรมดี เมื่อแรงแห่งกรรมดีจะส่งผล แรงกรรมชั่วก็จะต้องอ่อนกำลังลงแน่นอน

หากจะตั้งหน้าทำแต่ความดีไว้เรื่อยไป ความชั่วไม่ทำเลย ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติไหนภายภาคหน้า ย่อมจะมีแต่แรงกรรมดีเท่านั้นให้ผลไม่มีจบสิ้น จะไปหาแรงบาปที่ไหนที่ไหนมาตัดรอน


เมื่อเข้าใจกฎของกรรม หน้าที่การทำงานของกรรมถ่องแท้แล้ว จึงควรเลือกกระทำการต่างๆ ในชีวิตของเราให้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด แล้วเราย่อมไม่เสียใจอะไรเลยในการเกิดมาของชีวิตชาตินี้ และย่อมมีกำลังใจเกิดชาติหน้าใหม่ เพื่อสร้างบารมีให้เต็มที่ที่สุดต่อไปไม่ย่อท้อ  

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล