วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ เวลาอ่านหนังสือเรียนทีละหลายๆ เล่ม หลายๆ วิชาแล้ว มักจะแยกแยะ ไม่ออก จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

 

หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาอ่านหนังสือเรียนทีละหลายๆ เล่ม หลายๆ วิชาแล้ว มักจะแยกแยะ ไม่ออก ตอนเข้าห้องสอบหนูจะสับสนกับสิ่งที่อ่านมา บางครั้ง ถึงกับปวดศีรษะมาก จนทำข้อสอบ ไม่ค่อยได้ ปัจจุบันหนูสอบได้เกรดเฉลี่ย ๒.๙ แต่ก็อยากจะทำให้ได้ดีกว่านี้ อยากเรียนถามว่า จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรเจ้าค่ะ ?


             ที่คุณหนูบอกว่าสอบ ได้เกรดเฉลี่ย ๒.๙ หลวงพ่อว่าก็ทำได้ดีทีเดียว แต่ถ้าทำได้มากกว่านี้ ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก ส่วนปัญหาของคุณหนูนั้น อยู่ตรงที่อ่าน หนังสือแล้วมึนศีรษะ

             สำหรับเรื่องนี้อยากจะฝากเป็นข้อคิด ไปถึงลูกๆ หลานๆ ที่อยู่ที่บ้านทุกคนด้วยนะ

             เมื่อสมัยหลวงพ่อยังเรียนหนังสืออยู่ เคยเห็นเพื่อนๆ ที่เรียนอยู่ชั้นเดียว กันหลายคนทีเดียว ที่ไม่เฉพาะตอนสอบเท่านั้น แม้แต่ตอนเรียน ถ้าอ่านหนังสือมากๆ เขาก็บ่นว่าปวดศีรษะเหมือนกัน แล้วยังพบอีกว่า เกิดจากสาเหตุที่ไม่เหมือนกัน คือ

             ประเภทที่ ๑ อ่านหนังสือไปสักพักจะมึนศีรษะ ยิ่งอ่านหนังสือเล่มโตๆ ก็ยิ่งมึนศีรษะมากขึ้นไปอีก ซึ่งพบว่าเกิดจากสาเหตุสายตาสั้นบ้าง สายตาเอียงบ้าง ประเภทนี้ก็คงต้องไปหาจักษุแพทย์

             ประเภทที่ ๒ เกิดจากการจับประเด็นเนื้อหาสาระวิชา ที่คุณครูอธิบายไม่ได้ ก็เลยพยายามที่จะท่องให้ได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ใคร จะสามารถท่องจำ ตำรับตำราเล่มใหญ่ๆ ได้ทั้งเล่ม แต่จะจำได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจ ในหลักการของเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี

             เพราะฉะนั้น จึงค่อยๆ คุย ค่อยๆ ตะล่อมกัน ในที่สุดตอนเป็นนักศึกษาปีท้ายๆ เจ้าเพื่อนคนนี้ก็สามารถจับหลักการ หรือจับประเด็นในแต่ละเรื่อง ที่เรียนได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องท่อง หนังสือเล่มโตๆ ไม่ต้องพยายามจำรายละเอียดต่างๆ ให้มากมายนัก เขาก็กลายเป็นคนเรียนดีได้

          ถ้าคุณหนูคิดว่าตัวเอง อยู่ในลักษณะ จับประเด็นไม่เป็น ย่อความไม่เป็น หรืออะไรทำนองนี้ ก็ควรจะเข้าไปหาครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนวิชานั้นๆ ขอให้ท่านช่วยอธิบาย ในสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจให้ฟังใหม่ ก็จะทำให้การเรียนดีขึ้น

             ประเภทที่ ๓ หลวงพ่อเองก็เคยเป็น คือถ้าไปเจอเรื่องที่เราไม่เคยเจอมาก่อน แล้วเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ คนอื่นๆ ก็บ่นว่ายากเหมือนกัน

             ในกรณีนี้ วิธีแก้ไขต้องใช้อำนาจของสมาธิเข้ามาช่วย แต่ตอนนั้นหลวงพ่อ ก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องสมาธิดีนัก เพราะว่ายังไม่ได้พบกับคุณยายอาจารย์ฯ ของเรา

             วิธีที่หลวงพ่อทำก็คือ เรื่องที่เราไม่เข้าใจก็อ่านแล้วอ่านอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่านเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนที่จะเข้านอน คืออ่านจนกระทั่งจบ แล้วก็หลับกันไปเลย

             ตื่นเช้าขึ้นมาแทนที่จะไปล้างหน้าล้างตา ก็คว้าเจ้าเรื่องนั้นแหละมาอ่านก่อน เข้าใจไม่เข้าใจก็อ่านไปจนจบ แล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตา เข้าห้องน้ำห้องท่า

             กลางวันขณะที่เรียน เรื่องอื่นก็เรียนไป แต่พอมีเวลาว่าง หรือขณะทำภารกิจส่วนตัว ก็จะตรึกนึกถึงแต่เรื่องนี้ จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร

             ก่อนนอนก็เอามาอ่านเป็นวิชาสุดท้ายอีก อ่านจนกระทั่งหลับไปเลย เช้ามืดพอตื่นขึ้นมา ก็หยิบเจ้าเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านอีก

             ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยไป พอเข้าวันที่ ๓ ไม่เกินวันที่ ๔ เท่านั้นแหละ จำได้เป็นฉากๆ เลย แล้วก็เข้าใจขึ้นมาได้เองโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

             จนกระทั่งเมื่อมาพบคุณยายอาจารย์ ก็เล่าให้ท่านฟังว่า “ คุณยาย กระผมได้เจออย่างนี้ๆ มา เมื่อสมัยเป็นนักศึกษา ช่วยตอบทีเถอะว่าเป็นเพราะเหตุใด”

             คุณยายท่านตอบชัดดี ท่านบอกว่า “ อ๋อ คุณ เมื่อคุณทำอย่างนี้ ก่อนนอนใจก็จดจ่ออยู่ในเรื่องนั้น ตื่นนอนใจก็จดจ่ออยู่ในเรื่องนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ติดต่อกัน ๓ - ๔ วัน กายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝันของคุณ ก็เริ่มทำงานน่ะซิ

             “ เพราะคนเราไม่ได้มีกายเนื้อเพียงกายเดียว แต่มีกายในกาย หรือกายซ้อนกายอยู่ด้วย แล้วไม่ใช่ซ้อนแค่กายสองกายนะ ซ้อนกันอยู่ในนั้นอีกเป็นสิบ ถ้าใครฝึกสมาธิมากๆ จะไปเจอกายในกายเยอะแยะเลย ”

             แสดงว่าเมื่อเราเอาใจจดจ่อในเรื่องใดมากเข้าๆ ในที่สุดกายฝัน หรือกายมนุษย์ละเอียดก็จะรับรู้กับกายเนื้อของเราไปด้วย

            กลายเป็นว่า สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และความจำ ยกเป็นกำลัง ๒ ขึ้นมา ทำให้เข้าใจในสิ่งที่เมื่อเริ่มแรกรู้สึกว่ายาก ไม่เข้าใจอะไรเลย

             การที่กายมนุษย์ละเอียด หรือว่ากายฝันมาช่วยอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่ว่าเป็นความพยายามของลูกผู้ชายอย่างจริงจังนั่นเอง นี่ก็เป็นประสบการณ์ของหลวงพ่อ

             ประเภทที่ ๔ ในกรณีที่อ่านหนังสือแล้ว มีความรู้สึกมึนๆตื้อๆ ยังพบอีกว่า เนื่องจากห้องพักนั้น เป็นห้องที่อับ อากาศถ่ายเทได้ไม่ค่อยสะดวก แถมยังขนข้าวของไป เก็บเอาไว้จนเต็มไปหมดเสียอีก

             เมื่อการระบายอากาศในห้องนั้นไม่ดี และมักจะนอนดึกบ่อยๆ ก็เลยทำให้เป็นโรคตื้อๆ มึนๆ อยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้น เวลาอ่านหนังสือก็เลยย่ำแย่ พอแก้ไขด้วยการจัดห้องใหม่ ให้อากาศถ่ายเทได้ดี เขาก็เรียนดีขึ้น

             สำหรับตัวคุณหนูเอง ก็อาจจะอยู่ในเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๔ เรื่องที่ว่ามา หรือมีเรื่องพิเศษอะไรก็ค่อยๆ ค้นหาไป และในระหว่างที่กำลังค้นหาอยู่นี้ ก็อยากจะฝากไว้ว่า

             ๑. ต้องมีความอดทน และพยายามแบ่งเวลาให้ดี เดี๋ยวคุณหนูก็จะแก้ไขอะไรต่ออะไรได้พอสมควร

             . เริ่มลงมือฝึกสมาธิเถอะลูกเอ๊ย ฝึกสมาธิไม่ยากหรอก โดยก่อนนอนก็กำหนดนิมิตเป็นองค์พระ หรือจะกำหนด เป็นดวงแก้วก็ได้ ให้เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย หรือที่กลางท้องของเรา

             ให้ทำเหมือนอย่างกับเรากลืน องค์พระเอาไว้ในท้อง เป็นองค์พระแก้วใสๆ นั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปทางเดียวกับเรา หรือจะนึกว่ากลืน ดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เอาไว้กลางท้องก็ได้

             หัดทำสมาธิ โดยนึกง่ายๆ สบายๆ อย่างนี้สัก ๑๕-๒๐ นาที ก่อนนอนทุกคืน แล้วถ้าจะแถม สวดมนต์ด้วย ก็ยิ่งดี

             เพราะฉะนั้น ถ้าคุณหนูไม่ได้ ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ได้ชอบเล่นไพ่ ไม่ได้ชอบพนันบอล ไม่ได้จมอยู่ใน อบายมุขต่างๆ และศีล ๕ ก็รักษาอย่างดี ลูกเอ๊ย ตั้งใจเรียน ตั้งใจนั่งสมาธิ อย่างที่ว่าไป เดี๋ยวอาการมึนศีรษะ ปวดศีรษะ ก็จะค่อยๆ หมดไปเอง

             ก็ขอให้บุญรักษา ให้สามารถแก้ไข ตัวเองได้สำเร็จ ให้เรียนเก่งสมใจนึก ให้ได้ศึกษาต่อ ในระดับที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วอย่าลืมเอาเกียรตินิยม มาฝากหลวงพ่อด้วยนะ 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๓๕ ประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล