Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
มาตังคบัณฑิต ๖
การทำความดีทุกอย่างถึงแม้ว่า จะไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่อย่างน้อยตัวเราก็คือผู้ที่รู้ที่เห็น แล้วก็ภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไป ยิ่งไปกว่านั้นเทวดาทั้งหลาย ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ ก็ย่อมรับรู้และคอยอนุโมทนาบุญกับเราอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องหมั่นทำความดี หมั่นให้ทาน รักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนากันให้มาก โดยเฉพาะการเจริญสมาธิภาวนา ต้องทำให้เป็นปกติ ทำให้ได้ในทุกอริยบท ทำทุกๆ วันและตลอดเวลา เพราะความเพียรอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เรา สามารถเข้าถึงธรรมะภายในได้ แล้วเราก็จะสมหวังและยังเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายอีกด้วยนะจ๊ะ
มีธรรมะภาษิตที่ปรากฏในมาตังคชาดกว่า
เยสํ ราโค จ โทโส จ อวิชฺชา จ วิราชิตา
ขีณาสวา อรหนฺโต เตสุทินฺนํ มหพลํ
ท่านเหล่าใดสำรอกราคะ โทสะและอวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ทานที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก
พวกเราทั้งหลายต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การให้ทานจะเป็นเสบียงใหญ่ที่นำเราไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ เป็นบันไดไปสู่สวรรค์และนิพพาน การทำบุญด้วยเจตนาบริสุทธิ์ โดยหวังเอาบุญบารมีเป็นที่ตั้งนั้นจะได้รับอานิสงส์มากมาย อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึง ยิ่งทำถูกเนื้อนาบุญ ผลบุญนั้นก็จะเป็นมหัคคตกุศล ไม่สามารถที่จะคำนวนบุญที่เกิดขึ้นได้ว่ามีปริมาณมากเพียงใด
นักสร้างบารมีที่ชาญฉลาดจะต้องทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ อย่าดูหมิ่นผู้ที่นุ่งห่มปอนๆ แต่สูงส่งด้วยคุณธรรมภายใน เพราะท่านสามารถแยกแยะออกได้ว่า เนื้อนาบุญอันเลิศเป็นเช่นไร และอยากให้บุคคลผู้เป็นที่รักได้ทำถูกเนื้อนาบุญบ้าง จึงได้ออกจากป่าเพื่อมาชี้แนะ วิธีการทำบุญที่ถูกหลักวิชา ซึ่งเรื่องก็ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายกันแล้วนะจ๊ะ
เมื่อวานนี้หลวงพ่อได้เล่าค้างเอาไว้ถึงตอนที่ นางทิฏฐมังคลิกา เที่ยวตามหาพระดาบสเพื่อขอขมาโทษ ที่มัณฑัพยกุมารได้กล่าวล่วงเกินจนเป็นเหตุที่พวกยักษ์ไม่พอใจ ถึงกับบีบคอทำให้เกิดอาการวิปริตปางตาย ฝ่ายมหาบุรุษก็อธิษฐานจิตว่า ตั้งแต่สถานที่ที่เราเหยียบลงบนระหว่างถนน ขอรอยเท้าของเราอย่าหายไป ด้วยอำนาจของสิ่งใดเลย ทิฏฐมังคลิกาคนเดียวเท่านั้นจงเห็นเรา คนอื่นอย่าได้เห็น แล้วออกบิณฑบาตร เมื่อได้ข้าวสุกพอประทังชีวิตก็ไปนั่งบริโภค ที่ศาลาพักคนเดินทาง
ส่วนนางทิฏฐมังคลิกา เดินไปพบรอยเท้าของพระดาบส จึงเดินตามลอยเท้านั้นไป จนในที่สุดก็พบพระดาบสกำลังนั่งบริโภคอาหารอยู่ ด้วยอาการสงบสำรวม นางได้ไต่ถามพระโพธิสัตว์ว่า ใครหนอได้ทำบุตรของดิฉัน ให้เป็นผู้มีอาการวิปลาสแปลกประหลาดเช่นนี้ ศีรษะของบุตรชายถูกบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยียดตรงไม่ไหวติง ในตาขาวเหมือนกับคนตาย ขอท่านได้โปรดเมตตาต่อบุตรของดิฉันด้วยเถิด
พระโพธิสัตว์ได้สดับแล้วจึงตอบนางว่า น้องหญิงฉันไม่มีความโกรธเคืองต่อบุตรของเธอเลย สงสัยว่าพวกยักษ์คงรู้ว่า บุตรของเธอมีจิตคิดประทุษร้ายต่อผู้มีคุณธรรม จึงต้องการจะลงโทษเพื่อสั่งสอน จึงทำบุตรของเธอให้เป็นอย่างนี้ บุตรของเธอเป็นคนประมาท เพราะความมัวเมาในชาติและมนต์
นางทิฏฐมังคลิกากล่าวอ้อนวอนว่า ถ้าพวกยักษ์ได้ทำบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้ ขอท่านผู้เป็นพรหมจารี จงช่วยแก้ไขบุตรของดิฉันด้วย ดิฉันตามท่านมาก็เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีแก่บุตรผู้เป็นที่รัก ดังดวงใจของดิฉันด้วยเถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญมนุษย์ทั้งหลายย่อมมีความหลงมัวเมาเป็นธรรมดา ความจำของบุรุษย่อมหลงลืมได้โดยครู่เดียว ท่านผู้มีปัญญาเสมอด้วยขุนเขา ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งเถิด บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เป็นผู้มีความกระโกรธเป็นกำลัง ยักษ์ทั้งหลายรู้ว่าพระฤาษีเป็นผู้ทรงคุณธรรม ถ้าหากว่าหากว่ายักษ์เหล่านั้นโกรธเคืองแล้วได้ทำอย่างนี้ก็จงทำเถิด ดิฉันสามารถทำให้เทวดาหายโกรธเคืองได้ ขออย่างเดียวขอท่านซึ่งเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่าโกรธเคืองบุตรชายของดิฉันเลย
พระโพธิสัตว์เห็นความรักที่นางมีต่อบุตร ด้วยความสงสารจึงบอกให้นางเบ่าใจว่า น้องหญิงขอให้เธอสบายใจเถิด ฉันจะให้อำมฤตโอสถไปขับไล่พวกยักษ์ให้หนีไป แล้วเมื่อมัณฑัพยมานพผู้มีปัญญาน้อย บริโภคก้อนข้าวที่เราฉันเหลือนี้ พวกยักษ์ก็จะไม่กล้ามาเบียดเบียนบุตรของเธออีก
นางทิฏฐมังคลิกาได้ฟังถ้อยคำของพระดาบสก็รู้สึกโล่งใจ จึงน้อมขันทองเข้าไปเพื่อรับอำมฤตโอสถ พระโพธิสัตว์เทข้าวสุกที่ฉันเหลือ กับน้ำล้างมือลงในขันทองและสั่งว่า เธอจงหยอดน้ำครึ่งหนึ่งจากส่วนนี้ใส่ในปากบุตรของเธอก่อน ส่วนที่เหลือจงเอาผสมกับน้ำในตุ่ม แล้วนำไปหยอดใส่ปากของพราหมณ์ที่เหลือ พวกเขาก็จะหายเป็นปกติ จากนั้นก็กล่าวสอนนางและฝากบอกไปถึงมัณฑัพยกุมารว่า ให้รู้จักเลือกเนื้อนาบุญ เพราะพราหมณ์เหล่านั้น ไม่มีคุณธรรมภายในเลย อีกทั้งให้กุมารยินดีในกาพระพฤติธรรม อย่าได้ประมาทในความรู้และยศถาบรรดาศักดิ์ จากนั้นท่านก็เหาะกลับเข้าป่าหิมพานไป เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรมตามเดิม
ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เอาศีรษะทูลขันทองกลับไป นางได้หยอดน้ำข้าวล้างมือใส่ในปากบุตรชายก่อน ยักษ์หัวหน้าผู้เฝ้ารักษาเมืองคิดว่า เมื่อพระดาบสผู้มีอานุภาพให้อภัยแล้ว เราก็ไม่ควรทรมานมัณฑัพยกุมารอีกต่อไปจึงคลายฤทธิ์ แล้วก็พากันจากไป
เมื่อได้ดื่มน้ำข้าวแล้ว ก็สามารถลุกขึ้นได้ทันที ได้เอามือปัดฝุ่นที่เปื้อนกาย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางทิฏฐมังคลิกาได้พาบุตรชายไปดูความวิปลาสของพวกพราหมณ์ทั้ง ๑๖,๐๐๐ คนซึ่งนอนสลบไสลอยู่ แล้วก็สอนบุตรชายว่า ลูกเจ้าน่ะเป็นคนโง่เขลาไม่รู้จักสถานที่ที่จะให้ทานแล้วมีผลมาก ขึ้นชื่อว่าทักษิณัยจะบุคคลทั้งหลายไม่ใช่ผู้มีสภาพเห็นปานนี้ ต้องเป็นเช่นกับพระดาบสที่ลูกไล่ไป
การเกล้าผมผูกกระเซิงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ส่วนท่านเหล่านั้นน่ะสำรอกราคะ โทสะและอวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ทานที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก นางทิฏฐมังคลิกาได้บอกให้รู้ว่า บุคคลที่ลูกได้กล่าวล่วงเกินนั้น คือผู้ให้ยศแก่เราทั้งสอง ว่าแล้วก็กล่าวสอนต่อไปว่า ลูกรักตั้งแต่นี้ไปเจ้าจงอย่าได้ให้ทานแก่คนพูดทุศีลเหล่านี้อีก จงให้ทานแก่สมณะพราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมผู้ทรงอภิญญาและแก่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ในโลกเมื่อกล่าวสอนเสร็จแล้ว ก็ให้เอาข้าวสุกที่เป็นเดน เทใส่ลงในตุ่มน้ำ แล้วให้หยอดลงไปในปากของพราหมณ์ทั้ง ๘๐,๐๐๐ คน จนหายเป็นปกติและมัณฑัพยกุมารจึงสั่งให้พราหมณ์เหล่านั้น ออกไปจากบ้านทั้งหมด
ตั้งแต่นั้นมามัณฑัพยกุมารก็หันมาประพฤติธรรม และหาโอกาสทำบุญกับนักบวชทั้งหลาย คือดาบส นักพรตและพระฤาษีที่เดินทางออกมาจากป่า เพื่อโปรดชาวโลกและก็ทำบุญอย่างนั้นจนตลอดชีวิต เมื่อละโลกแล้วก็ได้ไปเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์
เห็นไหมจ๊ะว่าบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายในการก่อนท่าน จะสอนให้รู้จักเลือกทำบุญเพราะว่า เมื่อทำถูกเนื้อนาบุญ บุญนั้นก็จะมีอานิสงส์มาก แล้วจะทำให้เราประสบความสุข ความสำเร็จในชีวิต หนทางไปสู่สวรรค์นิพพานก็จะใกล้เข้ามา เส้นทางไกลในสังสารวัฏ ก็จะถูกย่อย่นให้สั้นลง ดังนั้นการทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณากันให้ดีนะจ๊ะ อย่าไปทำบุญกับสิ่งที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย เราเป็นศิษย์มีครู บรมครูของเราทรงสอนอย่างไร ก็ให้ปฏิบัติตามอย่างนั้นจะต้องฉลาดในการสั่งสมบุญกันนะจ๊ะ เมื่อเราได้โอกาสมาเกิดในยุคที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ก็อย่าได้ประมาทอย่าชะล่าใจกัน ให้เร่งรีบทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนากันให้เต็มที่ เพื่อความเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ในชีวิตกันทุกๆ คนนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)