มักจะมาปรากฏให้เห็นอยู่คนเดียว 3 ลักษณะ คือ
1. กรรมอารมณ์ หมายถึง ภาพกรรมที่ชอบไม่ชอบ เคยทำไว้ในอดีตที่ผ่านมาปรากฏให้เห็น มีทั้งฝ่ายกรรมดี
เช่น เห็นตัวเองตักบาตร ฟังธรรมสวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นต้น ฝ่ายกรรมชั่ว เช่น เห็นตัวเองเล่นการพนัน ดื่มน้ำเมาเจ้าชู้ เป็นต้น
2. กรรมนิมิตอารมณ์ หมายถึง ภาพผลงานที่เคยทำไว้ในอดีตมาปรากฏให้เห็น มีทั้งฝ่ายกรรมดี เช่น ภาพพระประธาน อุโบสถ โรงเรียน โรงพยาบาลที่เคยสร้างไว้ เป็นต้น ฝ่ายกรรมชั่ว เช่น ภาพขวดน้ำเมาที่เคยสะสม สัตว์ที่เคยฆ่ามาดิ้นทุรนทุราย เป็นต้น
3. คตินิมิตอารมณ์ หมายถึง ภาพทางไปเกิดมาปรากฏให้เห็น มีทั้งฝ่ายกรรมดี เช่น เห็นบริวารแต่งตัวสวยงามมารอรับพร้อมเทวรถเป็นต้น ฝ่ายกรรมชั่ว เช่น เห็นเจ้าหน้าที่กุมภัณฑ์ตัวดำ นุ่งหยักรั้งสีแดงมารอรับ เห็นสถานที่ดำสนิทหรือเห็นสถานที่เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
ถ้าเห็นภาพที่เป็นกรรมดีมาปรากฏจนวาระสุดท้าย จิตผ่องใสสุคติเป็นที่ไป ถ้าเป็นภาพที่เป็นกรรมชั่วมาปรากฏจนวาระสุดท้ายจิตเศร้าหมองทุคติเป็นที่ไป แต่ถ้าไม่ทันตั้งตัวหรือไม่มีความรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เป็นพวกใจไม่ใสไม่หมอง ตายแล้วไปได้ทั้งสุคติและทุคติ
กรรมใกล้ตาย โดยส่วนใหญ่มักมาจากกรรมที่ทำจนเป็นนิสัย ดังนั้น ถ้าเราอยากให้กรรมใกล้ตายเป็นกรรมดีเราต้องสั่งสมบุญด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ทำเป็นประจำทุกวัน ทำจนเป็นนิสัย ในกรณีที่ไม่มีกรรมหนักและกรรมใกล้ตาย กรรมที่ทำเป็นประจำ ก็จะทำหน้าที่ส่งผลในลำดับต่อไป ในกรณีที่ตายแบบไม่ได้ตั้งตัว เช่น ประสบอุบัติเหตุ หรือภัยธรรมชาติ เป็นต้น การตายแบบนี้กรรมใกล้ตายจะไม่มีโอกาสได้ส่งผล จากกรณีศึกษา Case Study ในรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ที่ออกอากาศทางช่อง DMC ผู้ที่ตายแบบไม่ทันตั้งตัว กายละเอียดจะออกมาจากกายหยาบ แล้ววนเวียนอยู่ในโลก เราเรียกกายละเอียดพวกนี้ว่าผี
ผี มาจากคำว่า พี ในภาษาบาลี แปลว่า กลัว
ผี หมายถึง อดีตมนุษย์ที่เป็นกายละเอียดในระดับภาคพื้นมนุษย์
พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เคยให้โอวาทไว้ว่า ผีแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 กายละเอียดที่เพิ่งตายใหม่ๆ บุญและบาปยังไม่ส่งผลวนเวียนอยู่ในโลก 3, 5, 7 วัน เป็นพวกที่ตายแบบใจไม่ใสไม่หมอง หรือตายโดยไม่ทันตั้งตัว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ประเภทที่ 2 สัมภเวสี ผีเร่ร่อน พวกกายละเอียดที่ไม่มีบุญมากพอ ที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ และก็ไม่มีบาปมากพอที่จะต้องไปตกนรก ทำให้ต้องมาเป็นผีเร่ร่อนอยู่ในเมืองมนุษย์ ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ไม่มีบุญพอที่จะมีเรือนเป็นของตนเอง เป็นพวกไม่มีบ้าน ผีเร่ร่อนจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายๆกับคนที่อดๆ อยากๆ มีร่างกายซูบผอมและก็ต้องคอยอาศัยอาหารมนุษย์ที่ทิ้งแล้ว หรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี หรือไหว้เจ้าในการประทังชีวิตไปวันๆ โดยจะกินโอชารส หรือส่วนละเอียดของอาหาร แม้ว่าจะไม่มีอาหารที่มนุษย์ทิ้งแล้วหรืออาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี หรือไหว้เจ้ามาหล่อเลี้ยงก็ยังสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรมที่มาหล่อเลี้ยงเอาไว้ ผีเร่ร่อนจะหิวกระหายเป็นที่สุด แต่ไม่ตาย เพราะวิบากกรรมหล่อเลี้ยง
ประเภทที่ 3 ผีบ้านผีเรือน อดีตมนุษย์ที่ไปเกิดเป็นภุมมเทวาระดับล่าง อาศัยบ้านมนุษย์ทั่วไป ไม่ใช้ข้าวของของมนุษย์ เรือนหยาบที่เป็นสิ่งก่อสร้าง ที่มีหลังคามุงบังเป็นที่อยู่ของผีบ้านผีเรือนได้ทั้งนั้น ขนาดของที่อยู่ขึ้นอยู่กับกำลังบุญ ผีบ้านผีเรือนจะไปเกิดในบ้านที่คุ้นเคยสมัยที่เป็นมนุษย์ เมื่อเจ้าของบ้านย้ายบ้าน ผีบ้านผีเรือนจะย้ายตามไปด้วย แต่ต้องขออนุญาติเทวดาหัวหน้าเขตก่อน ถ้าบ้านเรือนถูกรื้อถอน ผีบ้านผีเรือนจะย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่ ตามกำลังบุญการเกิดขึ้นของผีบ้านผีเรือนเกิดขึ้นแบบโอปปาติกะ แตกต่างจากเทวดาบนสวรรค์คือ
มีวัยใกล้กับตอนเสียชีวิต การเจริญเติบโตคล้ายมนุษย์ จากเด็กถึงสูงวัย เมื่อได้รับบุญ วัยจะกลับเป็นหนุ่มสาวได้อีก อาหารทิพย์เกิดขึ้นตามกำลังบุญ ความเชื่อของผีบ้านผีเรือนแตกต่างกันไป เหมือนความเชื่อเดิมตอนเป็นมนุษย์ ความเชื่อจะเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมที่ผีบ้านผีเรือนอาศัยอยู่
-----------------------------------------------------------------
หนังสือ "วงจรชีวิต ฉบับชีวิตในกามภพ "
พระครูวินัยธรไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล