คนใจเด็ด ควักเนตรเป็นทาน

วันที่ 26 พย. พ.ศ.2558

คนใจเด็ด ควักเนตรเป็นทาน

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ พระวิหารเชตวัน ภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า พระเจ้าโกศลทรงถวายอสทิสทานแล้วยังไม่อิ่มด้วยการถวายทานแม้ขนาดนั้น พระทศพลเสด็จมาทรงทราบเรื่องที่ตั้งขึ้นดังกล่าว จึงตรัสถึงมหาทานแล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้..

    อดีตกาล ณ อริฏฐปุรนคร มีพระราชานามว่าสิวิ ปกครองไพร่ฟ้าโดยธรรม ไม่ลำเอียงในการบริหาร ทั้งยังสร้างโรงทานอีก 6 แห่ง บริจาคทานวันละ 6 แสน ไม่เคยขาดแคลนการให้ทานทำเช่นนี้เนิ่นนาน มาวันหนึ่งทรงพลันมีความดำริในใจว่า..

"อันทานเหล่านี้เป็นเพียงภายนอกดอก ไฉนเราจะยินดีได้เท่าทานภายในเล่า ตอนนี้เราอยากจะให้ทานภายในดูบ้างเป็นไร"

 

พระเจ้า สิวิราชทรงตรองดูสักครู่ก็ตัดสินพระทัยเด็ดขาด ทรงดำริต่อไปทันทีว่า..
"บัดนี้! ชาวเมืองขอแต่ทรัพย์ภายนอกจากเรา เมื่อไหร่กันเล่าจะมีคนมาขอทรัพย์ภายในกับเราบ้าง เช่นนั้นเราจะได้ให้เนื้อ เลือด ศีรษะ นัยน์ตา หัวใจ กระทั่ง ละตนเป็นทาสรับใช้เขา เราก็เอาเราอยากจะให้โดยไม่มีข้อแม้เลย ทานของเราต้องบริบูรณ์! เอาล่ะ! วันนี้แหละ! เราจะไปโรงทานของเรา เผื่อว่าโชคดีมีใครมาเอ่ยปากขอหทัย เราจะรีบแหวะอกควักให้ดุจเด็ดบัวขึ้นจากสระให้เขาซะเลยหากใครมาขอเนื้อ เราจะเฉือนเนื้อเถือหนังไม่ลังเล หรือใครขอเพียงโลหิต เราจะรีบวิ่งเข้าเครื่องบดแล้วให้บริวารเรานำขันไปรองเลือดให้เต็ม แม้ขอให้ไปช่วยรับใช้ทำงานบ้าน เราก็เต็มใจสละราชสมบัติทันที ทว่ามาขอดวงตาเราไซร้ เราจะควักให้ทั้งหมดไม่เหลือ ทำให้เหมือนควักจาวตาลทีเดียว!"

 

    ..ในโลกมีเรื่องราวที่ผู้คนยากจะเข้าใจ พระเจ้าสิวิราชมียศยิ่งใหญ่เทียมฟ้า มีมหาสมบัติทุกอย่างพร้อมทั้งสนมนารีนับหมื่นที่จะบันดาลให้พระองค์อิ่มใจได้ทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์กลับมิทรงอิ่มใจกับสิ่งเหล่านั้น นับว่าทานบารมีเท่านั้นที่ทำให้พระองค์อิ่มใจ.. ดังนั้นตอนนี้พระองค์ทรงไสช้างมุ่งหน้าตรงไปโรงทานแล้ว พระองค์ทรงเหม่อมองไปที่คนแก่ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพระองค์ ชายแก่นั้นถึงกับยื่นมือมาขอของสิ่งหนึ่งกับพระองค์แล้วจริงๆ!

    "ข้าแต่มหาราช! ชาวเมืองเขาแซ่ซ้องกึกก้องว่าพระองค์นั้นมีอัธยาศัยชอบให้ทานยิ่งนัก ก็บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นคนตาบอดส่วนพระองค์เป็นคนตาดียังมีพระเนตรสองข้างบริบูรณ์ ข้าพเจ้าวิงวอนพระองค์แบ่งให้ข้าพเจ้าสักข้างหนึ่งเถิด!" ชายชรามือสั่นทูลอ้อนวอนอย่างน่าเห็นใจ ถึงกลับคิดขอดวงตาคน กระทั่งยังกล้าขอกับพระราชา!

          เมื่อพระองค์ทรงตัดสินพระทัยมาก่อนแล้วก็จำต้องเตรียมใจพร้อมรับสถานการณ์ หากมีผู้มาขอจริงๆ พระองค์จะทำอย่างไร ขณะที่ไสช้างเรื่อยมา พระองค์ทรงรวบรวมสมาธิ รวมความเด็ดเดี่ยว จนถึงระดับที่พร้อมจะตัดอาลัยในชีวิตให้ทุกสิ่งได้แล้วจริงๆ ดังนั้นยามนี้พระราชาคล้ายดั่งยินเสียงสวรรค์ และคล้ายดั่งอัสนีบาตฟาดหทัย แทบอดมิได้ที่จะร้องก้องยินดี พระองค์ทรงมีพระพักตร์เปล่งปลั่งแย้มบาน ดวงหฤทัยก็ปลอดโปร่งอย่างยิ่ง ทรงนึกถึงแต่ความสมหวัง รำพึงรำพันว่า..


"เราเพิ่งจะคิดก่อนมาเดี๋ยวนี้เอง ท่านนี่รู้ใจเราจริงๆ ที่มาขอดวงตากับเราความต้องการของ
เราถึงที่สุดก็วันนี้แล้ว!"

 

พระองค์รีบเสด็จลงหลังช้างเข้าไปหาชายชราด้วยความปีติปราโมทย์ล้นประมาณพลางดำริว่า
"ชายชรานี้ต้องใช้ตา หากเราควักให้ตรงนี้เลยจะเสียการ"

จึงทรงพาชายชราเข้าวังตรัสเรียกหาหมอหลวงมาทันที รับสั่งว่า..
"เจ้าจงล้างตาเราให้สะอาด"

แล้วตรัสกับชายชราว่า..
"ท่านขอเราเพียงข้างเดียว แต่เราคิดจะให้ท่านทั้งสองข้าง"

        ข่าวนั้นรวดเร็วปานสายฟ้า เหล่าสนมนารี หมู่เสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร แม้แต่ชาวเมืองกรูกันเข้าวังทูลทัดทานด้วยสารพัดเหตุผล..
"อย่าเลย พระองค์อย่าทรงบริจาคเลย พระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์มากมายมหาศาลปานนี้ยังไม่พอพระทัยอีกหรือ อย่าทรงให้ดวงเนตรเลย"


         พระองค์จะทรงรับฟังหรือไม่ จะให้คล้อยตามได้หรือ หากพระองค์ทรงเชื่อและคล้อยตามคำชาวเมือง มิเพียงบารมีไม่เกิด กระทั่งยังไม่มีพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาอุบัติอยู่ทุกวันนี้แล้ว ไฉนผู้คนมักมองแต่เพียงสั้นจนบางครั้งห้ามในสิ่งไม่ควรห้าม หากพระองค์ทรงทำตามไหนเลยคนเหล่านี้จะตามพระองค์เข้านิพพานได้ เนื่องเพราะตอนนั้น พระองค์ก็ต้องเป็นคนอื่นไปแล้ว ย่อมมิใช่พระพุทธเจ้าดังนั้นพระเจ้า สีวิราชจึงตรัสว่า..

"พวกเธอทั้งหลาย คนที่บอกว่าจะให้แล้วกลับใจไม่ยอมให้ ก็เหมือนเอาห่วงมารัดคอตนเองเป็นคนลามกยิ่งกว่าผู้ลามกทั้งหมด จะตกนรกแน่แท้ ความจริงผู้ขอขอสิ่งใดผู้ให้ก็ควรให้สิ่งนั้น ไม่ขอสิ่งใดก็ไม่ให้สิ่งนั้น ชายชรานี้มาขอดวงตากับเรา เขามิได้ขอทรัพย์ เราก็จะให้ดวงตา"


ดวงตาเป็นดั่งความรื่นรมย์ของชีวิต พระองค์ยอมสละความรื่นรมย์ของชีวิต อย่างไรก็ยากที่ผู้คนจะเข้าใจพระองค์ได้ เหล่าอำมาตย์จึงกราบทูลต่อว่า..

"พระองค์ให้ดวงตาไปเพื่ออะไรกัน หรือพระองค์ปรารถนาอายุ วรรณะ ความสุข หรือกำลังอันใดอีก ก็พระองค์ทรงมีพร้อมทุกอย่าง ทรงเป็นราชาผู้เลิศ มีเกียรติยศสูงสุด ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าที่พระองค์มีอีกแล้ว!"

"เราให้ดวงตานี้ ใช่ว่าอยากจะได้เกียรติยศชื่อเสียง แต่เราทำเพื่อหนุนสันดานให้แก่รอบเพื่อบ่มอัธยาศัยสร้างบารมีที่บัณฑิตในกาลก่อนสั่งสมมาดีแล้ว ใจของเราจึงชอบการให้"

พระราชาตรัสตอบพร้อมไม่อยากเสียเวลาไปกับการสนทนา จึงทรงตรัสกับหมอหลวงทันที..

"ท่านทำตามคำของเราให้จงดี! จงควักดวงตาทั้งสองของเรา วางไว้ในมือวณิพกผู้นี้!"
"การให้จักษุเป็นเรื่องใหญ่นะ พระเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงใคร่ครวญให้ดีก่อน!"
หมอหลวงทูลถามเชิงห้าม
"เราใคร่ครวญดีแล้ว! ท่านอย่ามัวชักช้าร่ำไรอยู่เลย"

         ทรงรับสั่งให้หมอหลวงรีบเร่งดำเนินการหมอหลวงจำใจบดยาใส่เบ้าพระเนตรขวาของพระเจ้าสิวิราช พริบตานั้นพระเนตรพลันพร่าลงทันทีความเจ็บปวดแสนสาหัสปะทุขึ้นมาที่เบ้าพระเนตรอย่างรวดเร็ว คนเรามีแต่ตกอยู่ในความมุ่งหวังอันสูงสุดเท่านั้นถึงจะยอมรับความเจ็บปวดปานนี้ได้ความเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อแต่นั่นเป็นเพียงทางผ่านที่พระองค์ทรงต้องดำเนินทางผ่านสู่ความหวังอันสูงสุด พระองค์มุ่งหวังอะไรกันหนอ หมอหลวงหยุดมือลงชั่วขณะ แล้วกราบทูลอย่างมีหวัง..

"ขอเดชะ! มหาราช ขอพระองค์ทรงตัดสินพระทัยให้ดีถี่ถ้วนก่อน การทำพระเนตรให้กลับคืนสู่ภาพปกติ ยังทันนะ พระเจ้าข้า"
"พ่อหมอ! อย่าชักช้า!" พระราชาตรัสสำทับ


           หมอหลวงจำใจปรุงยาอีกขนานใส่ซ้ำลงไปคราวนี้พระเนตรหลุดเผยออกจากหลุมทันทีความเจ็บปวดทับทวีมากยิ่งจนสุดจะพรรณาได้อีกแล้ว ดังนั้นก่อนใช้ตัวยาขั้นเด็ดขาด! หมอหลวงจึง ทูลถามเป็นครั้งสุดท้าย แต่พระองค์ไม่ทรงคลายพระทัยเลยแม้แต่น้อย กลับทรงยืนยันหนักแน่น ยิ่งกว่าเก่า

 

           บัดนี้หมอได้ใส่ยาขนานสุดท้ายชนิดรุนแรงที่สุดซ้ำลงไป ทันใดนั้น พระเนตรถึงกับหมุนหลุด ออกจากเบ้าลงมาห้อยอยู่ด้วยเส้นเอ็น หมอหลวงเห็นว่าเป็นโอกาสุดท้ายแล้วที่พระราชาจะทรงเปลี่ยนพระทัยได้ จึงถามย้ำเป็นครั้งสุดท้ายว่า..


"ขอพระองค์ทรงตัดสินพระทัยให้ดีเถิด! ข้าพระองค์ยังสามารถทำพระเนตรกลับสู่ ภาพเดิมได้"


            พระราชากลับมีหทัยเด็ดเดี่ยวยิ่ง ตรัสยืนยันไม่โลเล ซ้ำดุหมอหลวงอีกว่ามัวแต่ชักช้าอยู่..พระองค์เกิดทุกขเวทนากล้าแข็งเหลือประมาณ พระภูษามีแต่พระโลหิตไหลชุ่มโชค แต่พระหฤทัยกลับมีปีติชุ่มฉ่ำหลั่งรินอยู่ไม่ขาดสาย เพราะในพระทัยของพระองค์มีแต่ความปรารถนาพระสัพพัญุตญาณเท่านั้น! จึงทำให้พระองค์ข่มกลั้นได้ทุกสรรพสิ่ง ทรงข่มกลั้นกระทั่งวาจาของผู้คนยามนั้น เหล่านางสนม อำมาตย์ ต่างหมอบกราบทูลทัดทาน ปริเทวนาพิไรพร่ำรำพันเป็นการใหญ่จน เสียงดังไปทั่ววัง หมอหลวงหยุดมือลงอีก พระราชารีบตรัสว่า.. "อย่าชักช้า! หมอ"

         หมอตัดใจคว้ามีดตัดเอ็นวางดวงเนตรบนพระหัตถ์ของพระเจ้า สีวิราชผู้กล้าหาญ พระองค์ใช้พระเนตรซ้ายมองดูดวงเนตรขวาบนฝ่าพระหัตถ์ เกิดปีติแรงกล้า ข่มความเจ็บปวดไปหมดสิ้น พลางตรัสแก่ชายชราว่า..


"มาเถิดท่าน จงรับไปเถิด! พระสัพพัญุตญาณเท่านั้นแหละที่เรารักยิ่ง เรารักธรรมจักษุมากกว่าดวงตานี้นับร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า และขอการบริจาคครั้งนี้จงเป็นไปเพื่อพระสัพพัญุตญาณของเรา!

           ..โลกยังจะมีผู้ใดสามารถมองดูดวงตาตนบนฝ่ามือได้! ผู้ใดประพฤติได้คงต้องรู้สึกเช่นดังพระเจ้า สีวิราช ใจผู้ใดเลิศล้ำ ผู้นั้นได้ดวงตาเลิศล้ำ เลิศล้ำเหนือกว่าเทพเจ้าทั้งปวง เนื่องเพราะเทพเจ้าก็ยังไม่มีปัญญาทำเช่นนี้ นั่นจึงเป็นดวงตาที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นดวงตาที่แลกกับธรรมจักษุ..ชายชราหยิบลูกตานั้นใส่เบ้าตาตน นัยน์ตาพลันสุกใสเหมือนดอกบัวแรกแย้ม ไฉนง่ายดายปานนี้ ที่แท้ชายชรากลับเป็นท้าวสักกเทวราชแปลงมา เพราะอานุภาพแห่งเทวดา ดวงตาจึงใช้ได้พระราชาเห็นดวงตาของตนว่าใช้งานได้จริงก็ยิ่งเกิดปีติซาบซ่านไปทั่วพระวรกายอีกคราปรารภว่า..


"โอ้! เราให้ดวงตาได้แล้วๆ" ไม่รอช้ารีบตรัสให้หมอตัดนัยน์ตาอีกข้างแล้วมอบให้ชายชราทันทีชายชรารับตาอีกข้างใส่เบ้าตาแล้วจากไปดาวดึงส์พิภพ

    3 วันผ่านไป อาการปวดพระเนตรของพระราชาทุเลาเบาบางบ้างแล้ว ทรงดำริว่า "คนตาบอดไม่ สมควรจะอยู่ครองราชย์เลย" จึงเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยานหาที่วิเวกนั่งสมาธิอย่างสงบ เวลานั้นท้าวสักกะก็พลันปรากฏกายเข้ามาใกล้ๆ พระเจ้าสิวิราช


"นั่นใคร!" พระราชาถาม
"เราคือท้าวสักกะจอมเทพ มาที่นี่เพื่อประสงค์ให้พรแก่ท่าน ท่านจงรับพรจากเราเถิด"
"ข้าแต่ท้าวสักกะ! ทรัพย์สินเงินทองและไพร่กำลังพลของเราก็มีมากพอแล้ว แต่ข้าพเจ้าเป็น
คนตาบอด ตอนนี้ยินดีแต่ความตายเท่านั้นแหละ"
"พระองค์อยากตายเพราะใจรักหรือเพราะตาบอด" ท้าวสักกะตรัสถาม
"เพราะเราตาบอดนะสิ!" พระราชาตรัสตอบ
ท้าวสักกะจึงตรัสแนะนำว่า.. "ถ้าอย่างนั้นพระองค์โปรดทำสัจจกิริยาเถิด แล้วพระเนตรจะ
บังเกิดขึ้นอีกได้ครั้ง!"

พระราชาจึงดำริจะทดลองบุญโดยทำตามที่ท้าวสักกะแนะนำ ทรงนึกถึงอุปบารมีที่ผ่านมาว่า..
"วณิพกเหล่าใดมาขออะไรเรา วณิพกเหล่านั้นล้วนเป็นที่รักยิ่งของเรา ด้วยสัจจวาจานี้ขอดวงตาจงบังเกิดมีอีกครั้ง! และผู้ใดมาขอดวงตาเรา เราก็ได้ให้ด้วยปีติโสมนัส ยิ่ง ด้วยสัจจวาจานี้ขอดวงตาจงพลันบังเกิดขึ้นเถิด"

 

             พริบตานั้นเบ้าตาของพระองค์คล้ายดั่งมีชีวิต พระเนตรอันสุกใสก็ปรากฏขึ้นในเบ้าอย่างน่าอัศจรรย์ พระเนตรคู่ใหม่นี้เหมือนดวงจันทร์กลางหมู่ดาว เป็นราวกับดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า พระองค์ทรงฉงนพระทัยว่าเหตุไฉนพระเนตรดวงใหม่ถึงชัดปานนี้ กระทั่งเห็นทะลุผนังกำแพง ภูเขาไกลนับร้อยโยชน์ไปได้ ช่างเป็นดวงตาที่พิสดารอย่างยิ่ง!

 

            ท้าวสักกะกระจายข่าวให้มหาชนทราบ มหาชนต่างแห่แหนกันมารับพระองค์เสด็จกลับสู่พระนคร เรื่องราวถึงดวงพระเนตรคู่ใหม่ก็ได้แพร่สะพัดไปตลอดทั่วรัฐ สีมา มหาชนต่างมารุมล้อมเข้าเฝ้าเพื่อให้เห็นกับตา พระเจ้า สีวิมหาราชเห็นเป็นโอกาสดีที่จะให้ธรรมทานโดยมีดวงตาคู่นี้เป็นประจักษ์พยาน ทรงรับสั่งตีกลองไปทั่วพระนคร ตรัสเรียกทุกคนให้มาพร้อมกันที่พระลานหลวงประกาศเรียกเสนา ข้าราชการ ชาวเมือง ชาวบ้านทั้งปวงมาประชุมกันแล้วบันลือ สีหนาทว่า..


           ท่านทั้งหลายจงดูตาทิพย์อันสุกใสของเรานี้เถิด ตานี้เห็นได้ทะลุฝา ทะลุทั้งกำแพงและภูผาได้ร้อยโยชน์ เราให้ดวงตามนุษย์แต่กลับได้ตาทิพย์ ฉะนี้แล้วแต่นี้ไปขอพวกเราทั้งหลาย ถ้าวันใดยังไม่ได้ให้ทานอะไรสักอย่างหนึ่งก็อย่าเพิ่งทานข้าวกันเลย ใครก็ตามเมื่อถูกขอทรัพย์ แม้เป็นของพิเศษหรือของรักของหวงก็ตามแล้วคิดจะไม่ให้ เราขอเตือน! จงดูดวงตาเรานี้ ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่าการบริจาคทาน ใครๆ ไม่อาจมาติเตียนผู้ให้ทานได้ ผู้ให้เท่านั้นได้ไปสวรรค์"


             แต่นั้นมาพระเจ้า สีวิมหาราชทรงแสดงธรรมตอกย้ำเช่นนี้ทุกๆ ครึ่งเดือน โดยเอาดวงพระเนตรทิพย์ของพระองค์เป็นพยาน มหาชนปลื้มปีติเลื่อมใสได้พากันทำบุญให้ทานกันใหญ่ ชาวเมืองละโลกแล้วไปเป็นเทพบุตร เทพธิดา จนสวรรค์เนืองแน่นเป็นที่ยินดีปรีดาต่อท้าวสักกเทวราชยิ่งล้น บัดดลนั้นนรกก็เบาบางลงไปชั่วขณะ..

 

ประชุมชาดก
             พระทศพลทรงแสดงธรรมจบแล้วตรัสว่า บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อนไม่ยินดีด้วยทานในภายนอก ได้ควักดวงตาทั้งสองของตนบริจาคทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้าด้วยอาการอย่างนี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า สีวิกแพทย์ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ ท้าวสักกเทวราชมาเป็นพระอนุรุทธะส่วนพระเจ้าสิวิราชเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แลจากชาดกเรื่องนี้ ผู้ให้ไม่ต้องตายเพราะให้เพียงอวัยวะถือเอาอุปบารมี ผู้ที่ทำได้ต้องมีนิสัยรักการให้ทานมั่นคง จึงไม่อาลัยในชีวิต และต้องเป็นคนใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ยามมีคนมาทัดทานก็ไม่โลเล การให้เช่นนี้มักเป็นที่สวนกระแส ความคิดของปุถุชนทั่วๆ ไป หากทำได้ก็จะได้นิสัยแห่งทานบารมีที่มั่นคงมาครอบครอง"นิสัยรักการให้โดยไม่อาลัยชีวิต และให้ทานด้วยใจเด็ดเดี่ยว" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในทานบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.014313681920369 Mins