เกี่ยวหญ้าพลิกวิกฤต

วันที่ 28 พย. พ.ศ.2558

เกี่ยวหญ้าพลิกวิกฤต

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ พระวิหารเชตวัน พระทศพลตรัสแก่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าโบราณบัณฑิตทั้งหลาย ห้ามท้าวสักกเทวราชที่มาขัดขวาง แล้วยังให้ทานได้ เมื่อเศรษฐีทูลอาราธนาแล้วจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

    ในอดีตกาล ณ เมืองใหญ่แห่งหนึ่ง มีเศรษฐีนามว่า วิสัยหะ มีอัธยาศัยชอบทำทาน ยินดียิ่งที่ได้ให้ทาน จึงสร้างโรงทานมากมาย บริจาคทรัพย์วันละหลายแสนอยู่ทุกวัน ทานบารมีของท่านมีมากจนกระทั่งยังเหนือล้ำยิ่งกว่าท้าวสักกเทวราชัน ก็ทันใดนั้นเอง ท้าวสักกะทรงหวาดระแวงว่า นี่บารมีใครกันหนอ ที่จะทำให้พระองค์พ้นจากตำแหน่งได้ เมื่อตรวจดูเห็นเป็นเศรษฐีนี้เอง ทรงดำริว่า..


    "วิสัยหเศรษฐีแผ่น้ำใจกว้างขวางให้มหาทานมากมายเช่นนี้ ชาวโลกก็ไม่ต้องทำไร่ไถนากันแล้ว หากเขาต้องการมาเป็นท้าวสักกะเหมือนเรา แล้วเราจะทำอย่างไร ตอนนี้เราอย่างน้อยพอจะทำลายทรัพย์สินของเศรษฐีให้หมดสิ้นไปได้ ก่อนที่เศรษฐีจะได้บารมีมากไปกว่านี้!"ตำแหน่งอันทรงเกียรติช่างหอมหวานชื่นใจ ยากที่ใครจะคิดสละให้ผู้อื่นครอบครอง ท้าวสักกะก็ไม่ต่างกัน ทรงลืมบาปบุญคุณโทษโดยไม่เห็นความเดือดร้อนของผู้อื่น จนพระองค์เปลี่ยนไป กลายเป็นโจรปล้นทรัพย์! เศรษฐีก็กลับกลายเป็นยาจกไปในชั่วพริบตา โรงทานทั้งหมด ข้าวของในบ้านกระทั่งข้าวเปลือกแม้สักเม็ด ไม่มีอีกแล้ว! ข้าทาสกรรมกรหายไปหมดอย่างไร้ร่องรอย ทุกผู้คนต่างคล้ายตายจากไปหมดสิ้น เศรษฐีพลันพบเห็นว่ายังเหลือภรรยาอยู่ ทั้งคู่เหม่อมองความว่างเปล่าอย่างฉงน แม้จิตใจจะสับสนแต่ก็นึกถึงแต่บุญคิดในใจว่า ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งขาดการให้ทานไม่ได้เด็ดขาด จึงกล่าวกับภรรยาว่า..


    "นี่แม่! ในบ้านพอเหลืออะไรบ้างไหม จะได้เอาไปทำทาน"ทั้งสองช่วยกันค้นหาทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบพานแม้แต่เศษสตางค์  "เว้นจากเสื้อผ้าที่เราใส่อยู่แล้ว ไม่เห็นอะไรอื่นเลย" ภรรยากล่าวอย่างประหลาดใจ"เราไม่อาจหักใจได้่ เรายินยอมตายแต่จะไม่ยอมขาดการให้ทานเป็นอันขาด!" เศรษฐีกล่าวพร้อมวานให้ภรรยาช่วยค้นหาข้าวของดูอีกครั้ง ก็พบเห็นเคียวคาน พร้อมเชือกมัดหญ้าพิงอยู่ที่ซอกประตู เศรษฐีดีใจ ดวงตามีประกายแวววาวคิดว่า..


    "เราไม่เคยเกี่ยวหญ้ามาก่อน แต่ตอนนี้จะลองเกี่ยวดู ถ้าเอาหญ้าไปขายได้เงินมา ก็จะ
สามารถให้ทานแก่คนอื่นได้แล้ว"

    เศรษฐีทุลักทุเลเกี่ยวหญ้าอย่างร่าเริง จนได้หญ้ามา 2 ฟ่อนคล้องที่คานเอาไปขายหน้าประตูเมือง ขอเพียงได้ทรัพย์มาทำทาน เศรษฐีไม่กลัวอดตาย และไม่ สนใจสายตาเหยียดหยามทำลายจิตใจจากผู้คนรอบข้าง เนื่องเพราะความอิ่มใจจากการให้ย่อมมีประโยชน์กว่ามากความถือยศศักดิ์พลานุภาพของการให้ทาน รสชาติแห่งการให้ทานเป็นความสุขปานใดตอนนี้มีแต่เศรษฐีที่รู้ดีเศรษฐีขายหญ้าได้เงิน แล้วนำมาให้ผู้ที่มาขอทันที แต่ผู้มาขอมีมากเกินไป จนขอกระทั่งค่าอาหารที่เศรษฐีเจียดไว้ซื้ออาหารให้ตนกับภรรยากินกันในวันนี้ ถ้าให้ไปย่อมหมายถึงการอดข้าวไปหนึ่งวัน! สองสามีภรรยารู้ดีว่า การผ่านช่วงเวลาที่หิวโหยนั้นทรมาน ยากที่จะผ่านไปได้ นับเป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจ เป็นการตัดสินความเป็นความตายของสามีภรรยาคู่หนึ่ง มิว่าผู้ใดน้อยคนนักในช่วงเวลาเช่นนี้จะไม่เกิดกลัว ทั้งกลัวหิว ทั้งกลัวตาย แค่ สองประการนี้ก็ยากยิ่งแล้วที่จะไม่ตระหนี่!
แต่ย่อมไม่ใช่กับคนเช่นวิสัยหเศรษฐี ท่านเหลียวมองภรรยาอย่างเป็นห่วงว่าเธอจะลำบากไปด้วยเพราะก็เป็นค่าอาหารของเธอเช่นกัน แต่ภรรยาดั่งรู้ใจสามี สบตาราวกับจะบอกว่าแม้ตายก็ยอม!บัดนี้ล่วงไป 6 วันแล้ว แม้ข้าวสักเม็ดก็ไม่เคยตกถึงท้อง สองสามีภรรยาเลย ดวงใจของทั้งสองถึงขีดสุดแล้ว เลยความตายไปไกลแล้ว เศรษฐีเกี่ยวหญ้าขายได้เงินมาก็ให้ทานจนหมดแล้วนอนเอาแรงฟื้นขึ้นมาก็ไปเกี่ยวหญ้าต่อ ทำเช่นนี้มา 6 วันแล้ว ในโลกนี้ยังมีคนเยี่ยงนี้อยู่จริงๆ! โลกจึงมิเคยขาดความมหัศจรรย์ แต่ก็น่าเสียดาย มีคนจำนวนน้อยเกินไปที่มีปัญญาเข้าใจบุคคลเยี่ยงนี้ได้ มิฉะนั้นความอัศจรรย์คงบรรเจิดอยู่ในโลกไม่ขาดสาย และโลกจะต้องสุขสันต์อย่างยิ่งแล้ว!ร่างกายเศรษฐีไร้เรี่ยวแรง ผ่ายผอมจนไม่เหลือ สภาพเดิม แต่จิตใจยังเบิกบานดีอยู่ วันนี้เป็นวันที่ 7 วิสัยหเศรษฐีฮึดพลังขึ้นวูบหนึ่งไปเกี่ยวหญ้าอีกครั้ง นัยน์ตาเศรษฐีลึกพร่ามัว ในที่สุดก็เป็นลมนอนล้มทับหญ้าที่เกี่ยวท้าวสักกะพลันมาปรากฏตัวตรงหน้าเศรษฐี แล้วตรัสเตือนสติว่า.."วิสัยหะ! ท่านเอาแต่ให้ทานจนจะตายอยู่แล้วสมบัติทุกอย่างของท่านก็หายสิ้นไปหมด ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย ท่านยังให้ทานอยู่อีกทำไม ทำไมไม่เก็บเอาไว้บ้างเล่า ถ้าท่านหยุดให้เสียบ้างป่านนี้ทรัพย์ของท่านก็ยังเหลืออยู่ หากท่านรับปากเราว่าจะไม่สร้างทานบารมีอีกต่อไป เราจะให้ทรัพย์คืนแก่ท่านกลับมาดังเดิม ตกลงไหม"เศรษฐีฟังอย่างไม่ สบใจ ถามกลับว่า..


"ท่านเป็นใครกัน"
"เรานี่แหละ! ท้าวสักกะเทวราช"
"ท่านเองก็ให้ทานมิใช่รึ ซ้ำยังต้องรักษาศีลและบำเพ็ญวัตรบท 7 จึงได้มาซึ่งตำแหน่งแห่งท้าวสักกะ แต่คราวนี้ท่านไฉนกลับมาให้เราเลิกการให้ทานที่ท่านเองก็ยังให้เล่า ท่านอย่าประพฤติเยี่ยงคนพาล อารยชนทั้งหลายเขาไม่ทำตามท่านบอกหรอก ท่านจงรับรู้ไว้เถิดว่า หากข้าพเจ้าได้ทรัพย์มา แล้วจะต้องเลิกศรัทธาในการบริจาคละก็ การไม่มีทรัพย์เช่นนั้นยังคงประเสริฐกว่า ถ้าข้าพเจ้ายังมีและยังเป็นอยู่ก็จะให้! แม้ สภาพจะเป็นอย่างนี้ก็จะให้! เพราะข้าพเจ้ามิอาจลืมการบริจาคได้"

 

             ท้าวสักกะตรัสถามไม่อ้อมค้อม.."ท่านบริจาคทานเพื่ออะไร"วิสัยหะเศรษฐีทูลอธิบายอย่างรู้ท่าที.."ข้าพระบาทมิได้ต้องการเป็นท้าวสักกะ! ทั้งมิได้อยากเป็นท้าวมหาพรหม ปรารถนาแต่เพียงพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น!"ท้าวสักกะดีพระทัยคลายความตระหนี่ในตำแหน่งลงไปสิ้น กลับเปลี่ยนท่าทีมาเอาพระหัตถ์ลูบหลังเศรษฐี พริบตานั้นส่วนสัดร่างกายเศรษฐีกลับมีเติมเต็มด้วยเนื้อหนังดังเดิม ทรัพย์สินก็เพิ่มเติมกลับมาเหมือนเดิม ท้าวสักกะยังกลับคำที่ให้ไว้แก่เศรษฐีเมื่อสักครู่ ได้ตรัสส่งเสริมเศรษฐีให้บริจาคทรัพย์วันละ 12 แสนมากกว่าเดิมเท่าตัว แล้วเสด็จกลับเทวโลกอย่าง สบายพระทัย..น่าแปลกที่ท่านเศรษฐีตักสมบัติเท่าไหร่ก็ไม่พร่องสักที

 

ประชุมชาดก
          พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ภรรยาของเศรษฐีในครั้งนั้นมาเป็นมารดาพระราหุลส่วนวิสัยหเศรษฐีมาเป็นตถาคต ฉะนี้แลจากชาดกเรื่องนี้ เศรษฐีถูกกลั่นแกล้งแต่ไม่น้อยใจในชะตา ยังปรารถนาจะให้ทานในเวลาที่ไม่ปกติอย่างที่สุด และการให้ในสิ่งที่ไม่มี ย่อมยากกว่าการให้ในสิ่งที่มีอยู่ เพราะต้องฝ่าฟันหาไทยธรรมมา การให้อาหารมื้อสุดท้ายจนหมดสิ้นเรี่ยวแรงก็พอที่จะตัดใจเลิกให้ทานได้แล้ว แต่ก็ยังมิยอมเลิกรา เอาร่างกายที่สิ้นแรงไปหาทรัพย์อยู่ถึง 6 วันคิดจะให้ทานจนกว่าจะตาย นี้เป็นทานที่ทำได้ยากกว่าการให้ในคราวเดียวแล้วนอนรอความตาย นับเป็นความรักการให้ทานอย่างยอดเยี่ยม"นิสัยไม่น้อยใจย่อท้อเลิกให้ทาน และขวนขวายในทานแลกด้วยชีวิต" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในทานบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0014661192893982 Mins