.....การสร้างบารมีเพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เป็นวัตถุประสงค์หลักของ การเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกๆ ชีวิตไม่ว่าจะเป็นมหากษัตริย์ พระเจ้าจักรพรรดิ มหาเศรษฐี หรือยาจกวณิพก รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีวิญญาณครอง ล้วนมีวัตถุประสงค์ อย่างเดียวกันทั้งนั้น สรรพสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ จะต้องเพียรเพื่อ ทำตนให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ มุ่งไปสู่อายตนนิพพาน การที่จะทำเช่นนี้ได้ ต้องหมั่น ทำใจให้หยุดให้นิ่ง จนกระทั่งได้เข้าถึงพระธรรมกาย จึงจะมีอุปกรณ์ ที่จะไปสู่ อายตนนิพพานได้
มีวาระแห่งภาษิตใน พุทธาปทาน ความว่า
.....“กุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นกิริยาที่เราจะพึงกระทำ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กุศลกรรมนั้นเรากระทำแล้ว ได้ไปในไตรทศ สัตว์เหล่าใดผู้มีสัญญาก็ตาม ไม่มีสัญญาก็ตาม สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงเป็นผู้มีส่วนแห่งผลบุญที่เราได้กระทำแล้ว สัตว์เหล่าใดรู้บุญที่เราได้กระทำแล้ว เราให้ผลบุญแก่สัตว์เหล่านั้น บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดไม่รู้ ขอทวยเทพจงไปบอกแก่สัตว์เหล่านั้นให้รู้”
.....นี่เป็นคำกล่าวของพระเจ้าติโลกวิชัย ที่กล่าวไว้ภายหลังจากที่ท่าน ได้สร้างมหาทานบารมีครั้งยิ่งใหญ่ และได้อุทิศส่วนบุญแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ท่านได้ชื่อว่า ผู้ชนะสิบทิศ เพราะท่านท่องไปทั่วทั้งสิบทิศเพื่อสร้างบารมี ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่พระนิพพาน ทิศทั้งสิบ นั้นไม่เคยมีใครจะเดินทางไปถึง และใน ๑๐ ทิศนั้น มีพุทธเขตนับไม่ถ้วน พระเจ้าติโลกวิชัยสามารถท่องไปทั่วโลกธาตุที่ว่านั้นได้ ท่านไปด้วยจักรแก้ว กายของท่านมีรัศมีปรากฏเปล่งแสงออกเป็นคู่ๆ เป็นผู้ที่มีแสงสว่างไม่มีประมาณ ด้วยอำนาจของจักรแก้ว และแก้วมณี ปวงชนทั้งโลกธาตุมีมากมายเพียงใด ก็สามารถมองเห็นพระองค์ได้ และต่างประพฤติอยู่ในโอวาทของพระองค์
.....*เมื่อพระเจ้าติโลกวิชัยเปล่งวาจาว่า ด้วยบุญนี้ในอนาคตกาล ขอให้เราได้เป็น พระพุทธเจ้าในโลก เหตุการณ์ในครั้งนั้น แม้แต่ภูเขาหินที่ไม่มีชีวิต ก็ยังเปล่งเสียง กึกก้องกัมปนาทดังกระหึ่มไปทั่วทุกทิศ มวลมนุษย์ทั้งหลายทั่วทั้งจักรวาล ต่างชื่นชมอนุโมทนา เหล่าทวยเทพผู้มีกายทิพย์ ที่สิงสถิตอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภุมมเทวา รุกขเทวา อากาสเทวา ไล่เรื่อยไปจนถึงสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า พรหม อรูปพรหม ทั่วโลกธาตุเปล่งเสียงสาธุการ (*มก. พุทธาปทาน เล่ม ๗๐ หน้า ๓)
.....มาถึงตรงนี้ จะขยายความเกี่ยวกับโลกธาตุ เพื่อที่จะให้ทุกท่านได้เข้าใจ มากยิ่งขึ้น โลกธาตุนั้นมีอยู่ ๓ ขนาด มีขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพลางทูลถามว่า “พระองค์เคย ตรัสกับข้าพระองค์ว่า สาวกชื่ออภิภูของพระสิขีพุทธเจ้า ยืนอยู่บนพรหมโลกสามารถยัง ๑,๐๐๐ โลกธาตุ ให้ได้ยินเสียง แล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสามารถ ตรัสให้โลกธาตุ ได้ยินพระสุรเสียงได้เท่าไร พระเจ้าข้า “
.....พระศาสดาตรัสว่า “อานนท์ พระอภิภูนั้นเป็นเพียงพระสาวก แต่พระ ตถาคตทั้งหลาย ไม่มีใครจะเปรียบเทียบได้” พระอานนท์ได้ฟังดังนั้นได้ทูลถาม อีกเช่นเดิม พระพุทธองค์ก็คงตรัสตอบยืนยันเช่นเดิม เมื่อพระอานนท์ทูลถาม อีกเป็นครั้งที่ ๓ พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “เธอเคยได้ฟังหรือไม่ อานนท์ สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ พระอานนท์ทูลว่า “ขอพระองค์ตรัสเถิดภิกษุทั้งหลายจะได้ จดจำไว้”
.....พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอธิบายเกี่ยวกับโลกธาตุว่า “อานนท์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์แผ่รัศมีส่องแสง ทำให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้น จำนวน ๑,๐๐๐ ใน ๑,๐๐๐ โลกนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราชอย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลกซึ่งมีรูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น ชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ โลกธาตุอย่างเล็กมี ๑,๐๐๐ จักรวาล
.....สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุมีเท่าใด โลกเท่านั้นคูณโดย ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ โลกธาตุขนาดกลางมี ๑,๐๐๐,๐๐๐ จักรวาล ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุมีเท่าใด เอาโลกธาตุนั้นคูณโดยส่วน ๑,๐๐๐ อย่างนี้เรียกว่า ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ โลกธาตุขนาดใหญ่มี ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิจักรวาล
.....เมื่อตถาคตมีความปรารถนาจะพูดให้ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุได้ยินหรือปรารถนาพูดเท่าใดก็ได้ ตถาคตอยู่ในที่นี้ จะพึงแผ่รัศมีไปทั่วติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ เมื่อสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุเหล่านั้นรู้จักแสงสว่างนั้น ตถาคตก็บันลือสีหนาท ให้สัตว์เหล่านั้นได้ยินด้วยวิธีอย่างนี้ “
.....ครั้นจบพระกระแสพุทธดำรัส พระอานนท์อุทานออกมาว่า “เป็นลาภของข้าพระองค์หนอที่ได้ยินเช่นนี้ ข้าพระองค์ได้พระศาสดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพใหญ่อย่างนี้” พระอุทายีเถระที่นั่งฟังอยู่ด้วย ก็กล่าวขัดขึ้นว่า “ท่านได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ อาวุโส อานนท์ ที่พระศาสดามีฤทธิ์มากมีอานุภาพใหญ่อย่างนั้น” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอุทายีว่า “อย่าพูดเช่นนั้น อุทายี ถ้าอานนท์จะพึงเป็นผู้ยังไม่สิ้นราคะ มรณภาพไป ด้วยความที่จิตเลื่อมใสในเราด้วยคำพูดเท่านี้ เธอจะพึงได้เป็นเทวราชในเทวโลก ๗ ชาติ เป็นมหาราชาในชมพูทวีป ๗ ชาติ แต่ที่แท้นั้น อานนท์จักปรินิพพานในชาติปัจจุบันนี้ทีเดียว”
.....เพราะฉะนั้นการได้ยินเรื่องราวที่ลึกซึ้ง นำมาซึ่งมหาปีติ มีอานิสงส์มาก นี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกธาตุที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในภพสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ วันที่พระองค์เสด็จจุติจากเทวโลก ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระพุทธมารดา ในวันประสูติ วันเสด็จออกผนวช วันตรัสรู้ วันทรงแสดงธรรมจักร วันทรงปลงอายุสังขาร และวันดับขันธปรินิพพาน โลกธาตุขนาดกลางก็หวั่นไหว มีโลกธาตุอย่างนี้นับกันไม่ถ้วน แสนโกฏิจักรวาลที่ได้ยินกันบ่อยๆ นั้น หมายถึงมหาสหัสสีโลกธาตุ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพุทธประสงค์ จะทรงเปล่งพระรัศมีออกจากพระพุทธสรีระ ให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้เห็น หรือได้ยินพระสุรเสียงก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ
.....คำหนึ่งที่ทุกท่านได้ยินกันบ่อยๆ คือคำว่า อนันตจักรวาล หมายถึงจำนวนจักรวาลที่นับไม่ถ้วน ดังข้ออุปมาเพื่อให้ทุกท่านพอจะนึกภาพออก สมมติว่า ถ้าเราเอาแสนโกฏิจักรวาลที่กล่าวมานั้น ทำให้เป็นพื้นที่ว่างๆ แล้วนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไปให้เต็มแสนโกฏิจักรวาลไล่เรื่อยไปจนถึงพรหมโลก เมล็ดพันธุ์ผักกาด เมล็ดหนึ่งนับเป็นหนึ่งจักรวาล จากนั้นเราก็หยิบออกทีละเมล็ด ไปวางเรียงไว้ทางทิศเหนือ จนกระทั่งเมล็ดผักกาดหมด จักรวาลทางทิศเหนือ ก็ยังไม่หมดสิ้นไป ยังมีอยู่อีกมากมาย
.....ส่วนในทิศอื่นก็ทำทำนองเดียวกันกับทางทิศเหนือ คือ หยิบเมล็ดผักกาด ซึ่งเต็มทั้งแสนโกฏิจักรวาลออกทีละเมล็ดวางเรียงออกไป จนกระทั่งเมล็ดผักกาดหมด จักรวาลก็ยังมีเหลืออยู่อีก ดังนั้น อนันตจักรวาลจึงหมายถึง จักรวาลที่มีมากมาย สุดที่จะนับจะประมาณได้ นี้คือความอัศจรรย์ที่อยากจะให้ทุกคนได้เรียนรู้ ศึกษาไว้ เพราะพวกเราเป็นนักสร้างบารมีที่ยังต้องเดินทางต่อไปอีก จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม
.....พระเจ้าติโลกวิชัยพระองค์ทรงมีอานุภาพมาก สามารถที่จะท่องไป ในโลกธาตุ ทั้งหลายได้ และทรงสร้างมหาทานบารมีกับเนื้อนาบุญในพุทธเขตที่ไม่มีประมาณ หลังจากที่พระองค์ ทรงสร้างทานบารมีแด่พระอริยเจ้านับพระองค์ไม่ถ้วน ซึ่งใน ประวัติศาสตร์ของจอมจักรพรรดิทั้งหลาย ยังไม่มีใครสามารถทำได้อย่างพระองค์ เมื่อทรงสร้างบารมีแล้ว ทรงแผ่ส่วนบุญ แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เรื่องราวของท่านยังไม่จบ ซึ่งจะได้ศึกษากันในตอนต่อไป