.....บนโลกใบนี้ มีบุคคลผู้สร้างคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษย์อยู่มากมาย และเราก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นหนี้บุญคุณบุคคลเหล่านั้นอยู่ไม่น้อย
เฟลมมิ่ง ผู้ค้นพบยาเพนนิซิลิน
มาดามแมรี คูรี ผู้ค้นพบโซเดียมที่ใช้รักษามะเร็ง
พี่น้องตระกูลไรท์ ผู้คิดค้นเครื่องบิน
อลัน เทอริง ผู้ค้นพบคอมพิวเตอร์
.....หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ทีความอัจฉริยะระดับโลก อย่าง นิวตัน และไอน์สไตน์ เพราะถ้าไม่มีพวกเขา เราอาจไม่มีตึกสูงๆ ไม่มีเส้นใยนำแสง เครื่องจักรกลอำนวยความสะดวก รถยนต์ เครื่องซักผ้า เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ฯลฯ
.....บุคคลเหล่านี้ ล้วนคิดเพื่อให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องอยู่ในถ้ำ ก่อไฟแบบเดิมๆ ทำให้เรามีชีวิตที่แสนจะสะดวกสบาย
.....แต่ทำไมความสะดวกสบายที่มีมากขึ้น ไม่เคยช่วยทำให้ความทุกข์ ในวัฏสงสารลดน้อย ถอยลงเลย อีกทั้งความทุกข์ยังคงอยู่กับเรา และเกิดขึ้นๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
.....ถ้าหากมีใครสักคนค้นพบวิธี หนีออกจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เพื่อให้เราไม่ต้องทุกข์อีก เพื่อให้เราไม่ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย บุคคลนี้จะมีคุณอนันต์กับโลกใบนี้สักเพียงไร...
.....แต่ทว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีมานี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์ ทำให้คนที่เกิดในยุคนั้นจำนวนหนึ่ง สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานตามท่าน โดยไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีที่สะดวกสบายบนความทุกข์อีก
.....แต่หลังจากที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ๕๐๐ ปี สิ่งที่พระองค์ค้นพบ คือ วิชชาธรรมกาย ที่ทำให้มนุษย์ยุคนั้นนิพพานตามพระองค์ ก็ได้เลือนหายไป
.....จนกระทั่งมีภิกษุรูปหนึ่งเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มุ่งมั่นต่อธรรมปฏิบัติ จนกระทั่งค้นพบวิชชาธรรมกายที่หายสาบสูญไปขึ้นมาใหม่ และพร่ำสอนมนุษย์ให้เข้าถึงหลักแห่งการพ้นทุกข์
.....ภิกษุรูปนี้มีใจปรารถนา ไม่ใช่ เพื่อจะไปนิพพานเพียงคนเดียว หรือช่วยสรรพสัตว์ไปเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ท่านได้ตั้งมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ไว้ว่า จะขอขนสรรพสัตว์ไปให้หมดทั้งภพ ๓ ทุกภพ ทุกจักรวาล และขอเข้าถึงนิพพานเป็นคนสุดท้าย
.....นี่แหละ..คือความยิ่งใหญ่ของท่าน ที่ทำให้คนเคารพบูชาศรัทธาท่าน และสามารถเอาชีวิตเป็นเดิมพันทำเพื่อท่าได้...