บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในลุ่มแม่น้ำโขง มีลูกไฟสีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นจากแม่น้ำสู่ท้องฟ้า และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (๑๕ ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บั้งไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่
ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวถึงพญานาค เหตุการณ์วันพุทธเจ้าเปิดโลก ได้มาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญในปัจจุบัน คือ ปรากฏการณ์ “ บั้งไฟพญานาค” ซึ่งมีแห่งเดียวในโลก ณ แผ่นดินแม่น้ำโขง บริเวณ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย หรือปากน้ำงึมของฝั่งลาว ตรงกับวันออกพรรษาของไทย หรือวันมหาปวารณาของลาว
ตามคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาหลายร้อยปี และมีข้อมูลปัจจุบัน คือ พญานาคใต้ลำน้ำโขงจะขึ้นมาพ่นบั้งไฟเป็นดวงประทีปถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการระลึกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เมื่อครั้งที่พระศาสดาทรงเสด็จลงจากเทวโลกชั้นดาวดึงส์ และทรงใช้พุทธานุภาพ “ เปิดโลก” เพื่อให้มนุษย์ เทวดา พรหม และสัตว์ในอบายภูมิได้เห็นกันหมด
พญานาคที่ลุ่มน้ำโขงก็เป็นท่านหนึ่งที่เห็นพุทธานุภาพนั้น บังเกิดความเลื่อมใส และยิ่งตอกย้ำถึงความปรารถนาดั้งเดิมที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต จึงอธิษฐานซ้ำไปอีก และเมื่อถึงวันเข้าพรรษาทุกปี พญานาคก็จะออกมาจาก นาคพิภพมาจำศีลภาวนาใต้ลำน้ำโขง ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนตลอดเวลา ๓ เดือน เมื่อถึงวันออกพรรษา แล้วก็ระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันที่เสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ด้วยใจที่ปลื้มปีติ แล้วพ่นไฟที่กลั่นจากใจใสๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมทั้งอธิษฐานว่า ด้วยอานิสงส์ นี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ดวงไฟออกมาอย่างนุ่มนวลเป็นฟองอยู่ใต้น้ำก็กลม ๆ เนื่องจากเป็นของกึ่งหยาบกึ่งละเอียด ทำให้เวลาลอยพ้นน้ำขึ้นมา ผิวน้ำจะไม่กระเพื่อม คือ เหมือนผ่านอากาศ แล้วลอยขึ้นไปสว่างวาบบนท้องฟ้า
จากในตอนแรกท่านก็มาตามลำพังตนเดียว ต่อมาบริวารเกิดศรัทธา ตามขึ้นมาจำศีลด้วย บั้งไฟที่ส่องสว่างขึ้นบนท้องฟ้า ช่วงสั้นบ้าง ยาวบ้าง ดวงโตบ้าง ดวงเล็กบ้าง แล้วแต่อานุภาพของแต่ละท่าน ใครกำลังบารมีอ่อนก็พ่นได้ไม่กี่ดวง แล้วก็สูงไม่มาก แต่ของพญานาคจะสูงทีเดียว ด้วยเหตุนี้ บั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้นในวันออกพรรษาทุกปี และเริ่มมีมากขึ้นตาม ห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ ดังที่ปรากฏ
..... นับเนื่องจากนั้น ทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ จึงได้มีปรากฏการณ์ประหลาดลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงสู่ท้องฟ้า ปรากฏมาให้เห็นตราบเท่าทุกวันนี้ ทุกคนเรียกขานว่า “บั้งไฟพญานาค”
และในปีเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับลาวและเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันออกพรรษาในปีจึงได้มีพิธีตักบาตรขึ้น ณ สะพานมิตรภาพไทยลาว ในวันเสาร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๙ ซึ่งพิธีจะเริ่มขึ้นเวลา ๐๖ .๐๐น. โดยประธานสงฆ์และคณะสงฆ์จะมาถึง ณ ศูนย์กลางพิธี พร้อมทั้งสาธุชนที่มาร่วมพิธีตักบาตรก็จะทยอยเข้าพื้นที่เวลา ๐๖.๓๐ .ประธานจัดงาน กล่าวรายงานและทำพิธีเปิดงานพร้อมทั้งปล่อยนกพิราบสันติภาพสีขาวอีกทั้งถวายเครื่องไทยธรรมแด่คณะสงฆ์เป็นสังฆทานด้วยพิธีตักบาตรจะเริ่มขึ้นเวลา ๐๗.๒๐น. และเสร็จพิธีเวลาประมาณ ๐๘.๓๐น.
นอกจากการชมบั้งไฟพญานาคก็ให้ทำจิตให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างพญานาคนี้ ด้วยการได้ใส่บาตรกันในตอนเช้าแล้วก็ให้บำเพ็ญบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนากันตลอดทั้งวัน ให้กาย วาจา ใจ ของเราสะอาดบริสุทธิ์ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน สนทนาด้วยถ้อยคำปิยวาจา จากนั้นพอตกตอนพลบค่ำทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา สาธุชน นานาชาตินับแสนก็มาสวดมนต์ ระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัยพร้อมๆ กัน ทั้งสองฝั่งไทยลาว ซึ่งต่างก็เป็นดุจเครือญาติ..
หากการจะร่วมชมปรากฏการณ์ที่มีความเกี่ยวเนื่องในพุทธศาสนานั้น ต้องไม่ให้มีอบายมุขเข้ามาเจือปนโดยตลอด เหล่านี้ย่อมทำให้เกิดทางมาแห่งบุญที่แท้จริง และยังจะเกิดเป็นภาพที่นำมาซึ่งความชื่นชมของผู้คนที่ได้พบเห็นและปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดีงามสืบต่อไปได้อย่างแน่นอน ในโอกาสต่อ ๆ ไป.
โดย..บุญรักษา-อนุธิดา