กัณฑ์ที่ ๑๐
ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ (๓ ครั้ง)
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา |
ภารหาโร จ ปุคฺคโล |
ภาราทานํ ทุกขฺ โลเก |
ภารนิกุเขปนํ สุขํ |
นิกฺขิปิตฺวา ครุ ภารํ |
อญญํ ภารํ อนาทิย |
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห |
นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโตติ ฯ |
ณ บัดนี้อาตมาภาพจักได้แสดงธรรมิกถา แก้ด้วย ขันธ์เป็นภาระอันหนักตามวาระพระบาลีและคลี่ความเป็นสยามภาษา เพราะว่าเราท่านทั้งหลาย เกิดมาหญิงชายทุกถ้วนหน้า ล้วนแต่แบกภาระขันธ์ ๕ ด้วยกันทั้งนั้น ขันธ์ ๕ เป็นของหนัก ไม่ใช่ของเบา หนักอย่างไร หนักตั้งแต่อุบัติตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่เกิดในท้องมารดาหนักเรื่อยมา นั่นบังคับให้มารดาผู้ทรงครรภ์นั้นหนักแล้ว ตัวเองก็หนักแล้ว ตัวเองก็หนักไปไหนไม่ค่อยไหวติดอยู่ในอู่มดลูกนั่นเอง เจริญวัยวัฒนาเป็นลำดับ ๆ ไป เมื่อคลอดก็หนักถึงกับตายได้ ถ้าว่าขันธ์ที่เกิดนั้นไม่ตาย ขันธ์ของมารดาที่ให้เกิดนั้นถึงกับตายลำบากยากแค้นนัก หนักด้วย ลำบากด้วยฝืดเคืองด้วย คับแค้นด้วย คับแค้นด้วย ลำบากทั้งนั้น ขันธ์ ๕ เป็นของหนักจริง ๆ ไม่ใช่ของเบา ไปไหนก็ไปเร็วไม่ได้อุ้ยอ้าย เมื่อเจริญวัยวัฒนาเป็นลำดับแล้วก็ไปด้วยตนเองของตนเอง แต่ว่าเป็นกายหนัก เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ไป เร็วไม่ได้ต้องตามกาลสมัย ตามกาลของขันธ์นั้น ไม่ใช่หนักพอดีพอร้าย หนักกายต้องบริหารมากมายผู้เกิดมานั้นต้องบริหารขันธ์ ๕ นั้นด้วย ต้องดูแลรักษา ครั้นเจริญวัยวัฒนาตัวของตัว เมื่อหลุดจากมารดาบิดาบริหารรักษาแล้ว ตัวของตัวต้องรักษาตัวเองอีก ตัวของตัวรักษาตัวเองไม่ค่อยไหว บางคนถึงกับให้คนอื่นเขารักษาให้ ต้องให้เขาใช้สอยไปต่างๆ นานา รักษาขันธ์๕ ของตัวไม่ได้ ต้องบากบั่นตรากตรำมากมายในการเล่าเรียนศึกษา กว่าจะรักษาขันธ์ ๕ ของตนเองได้ จนกระทั่งรักษาขันธ์ ๕ ของตนได้ พอรักษาขันธ์ของตัวได้ขันธ์ ๕ ก็เก่าคร่ำคร่า หนักเข้าขันธ์ ๕ ของตัวเองก็พยุงตัวเองไม่ไหว พยุงตัวเองไม่ไหวต้องอยู่กับที่ขยับได้บ้าง ไปโน่นมานี่ได้บ้างแต่หนักเข้าก็ลุกไม่ขึ้น หนักเข้าก็หมดลมอัสสาสะ ปัสสาสะ เข้าโลงไป สี่คนนั่นแหละต้องหาม สี่คนก็เต็มอึดเชียวหนา มันหนักขนาดนี้ หนักอย่างโลก ๆ ไม่ใช่หนักอย่างธรรม ๆ หนักอย่างทางธรรมน่ะ นั่นลึกซึ้งแบบขันธ์ทั้ง ๕ นำขันธ์ทั้ง ๕ ไปมากมายนัก ในมนุษย์โลกนี้แบกขันธ์ทั้ง ๕ ไปมากมายนัก ภาระคือ ขันธ์ ๕ นี้หนัก ไม่ใช่หนักแต่มนุษย์โลกนี้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็หนักอีก ไปเกิดเป็นพรหมก็หนักอีก ไปเกิดเป็นอรูปพรหมก็หนักอีก หนักทั้งนั้นไม่ใช่เบา ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์นรกหนักขึ้นไปกว่านั้นอีก ในสัญชีพ กาฬสูตต สังฆาต โรรุพน มหาโรรุพน ตาป มหาตาป อเวจี หนักขึ้นไปกว่านั้นหรือไปเกิดในบริวารนรก รวมนรก ๔๕๖ ขุม ขุมใดขุมหนึ่ง หรือไปเกิดเป็นเปรตก็หนักขึ้นอีกเหมือนกัน ไปเกิดเป็นอสุรกายก็หนักขึ้นอีกเหมือนกัน ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็หนักอีกเหมือนกัน เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรตอสุรกาย ก็หนักทั้งนั้น ขันธ์ ๕ นี่เป็นของหนัก
ท่านจึงได้ยืนยันตามพระบาลีว่า
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้ง ๕ นี่เป็นของหนัก
ภารหาโร จ ปุคฺคโล บุคคลผู้นำขันธ์ ๕ ที่หนักนั้นไป
ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก การถือมั่นในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ในโลก
ภารนิกฺเขปนํ สุขํ สละขันธ์ ๕ ปล่อยขันธ์ ๕ วางขันธ์ ๕ ทิ้งขันธ์ ๕ เสียได้เป็นสุข
นิกฺขิปิตฺวา ครุ ภารํ การทิ้งภาระที่หนักอันนั้นเสียได้แล้ว
อญฺญํ การํ อนาทิย ไม่ถือเอาของหนักอื่นอีกต่อไป
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห ชื่อว่าเป็นผูถอนตัณหาทั้งรากได้
นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต หมดกระหาย ไปนิพพาน ได้
หมดกระหาย หมดร้อน หมดกระวนกระวาย ไปนิพพานได้ ให้ทิ้งขันธ์ ๕ เสีย ทิ้งขันธ์ ๕ เสียได้แล้วได้ชื่อว่าถอนตัณหาทั้งรากได้ นี้เป็นตัวสำคัญ ให้รู้จักดังนี้ เราจำเป็นอยู่แล้วจะต้องวางต้องทิ้ง ขันธ์ ๕ นี่ไม่ถึงทิ้งเราก็ต้องทิ้ง ใครละจะไม่ทิ้งได้ ถ้าไม่ทิ้งแก่เข้า แก่เข้า ถึงเวลาก็ตายจะเอาไปได้หรือขันธ์ ๕ น่ะ คนเดียวก็เอาไปไม่ได้ หมดทั้งสากลโลก ขันธ์ ๕ ของตัวเองเอาไปไม่ได้ แต่ของตัวเองเอาไปไม่ได้แล้ว น่าจะเอาของคนอื่นไปอย่างไรล่ะ เอาของลูกไปบ้างไม่ได้หรือ ไม่ได้ แต่ของตัวก็ยังเอาไปไม่ได้ จะเอาของลูกไปอย่างไร พี่น้องวงศ์วานว่านเครือ จะเอาไปบ้างไม่ได้หรือ เอาไปไม่ได้ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด ตาย ตายคนเดียว เกิด เกิดคนเดียว เราอยู่คนเดียวน่ะนี่น่ะ ไม่ได้อยู่หลายคนนะ อยู่กี่คนก็ชั่ง ตายไปด้วยกันไม่ได้ เกิดคนเดียวตายคนเดียวทั้งนั้นก็แฝดกันมาไม่ใช่ด้วยกันดอกหรือ ? จะแฝดหรือจะติดกันอย่างไรก็ตามเถอะ คนละจิตคนละใจทั้งนั้น ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด เมื่อรู้ชัดดังนี้แล้ว วิธีละขันธ์ ๕ ถอดขันธ์ ๕ทิ้ง วิธีถอดสละขันธ์ ๕ วางขันธ์ ๕ นั้น ต้องเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวรกถา ที่จะตั้งอยู่ในสังวรกถาได้ ต้องอาศัยมีความรู้ ความเห็นแยบคาย เห็นแยบคายอย่างไร ? รู้เห็นแยบคาย ความยินดีในรูปอารมณ์นั้น ๆ ต้องปล่อยวาง ต้องละทิ้งความยินดี ในอารมณ์นั้น ๆ ถ้ายังยึดความยินดีในอารมณ์อยู่ปล่อยขันธ์ ๕ ไม่ได้การยึดอารมณ์ยินดีในอารมณ์ ท่านยกเป็นตำรับตำราไว้ เป็นเนติแบบแผน เป็นภาษามคธว่า
สุภานุปสฺส วิหรนฺตํ อินฺทริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตญฺญุ กุสีตํ หินวิริยํ
ตํ เว ปสหติ มาโร วาโต รุกฺขํ ว ทุพฺพลํ
แปลเป็นสยามภาษาว่า ผู้ที่เห็นอารมณ์งาม สุภานุปสฺส ผู้ที่เห็นอารมณ์งาม รูปอารมณ์ก็ดี สัทธารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ผู้เห็นอารมณ์งาม รูป เสียง กลิ่น โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั่นแหละเรียกว่า สุภานุปสุส ผู้เห็นเป็นอารมณ์งามอยู่ ไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร มีความเกียจคร้าน กุสีตํ จมอยู่ในอาการอันบัณฑิตพึงเกลียด หินวิริยํ มีความเพียรเลวทราม ตํ เว ปสหติ มาโร มารย่อมประหารบุคคลผู้นั้นได้ วาโต รุกขํ ว ทุพฺพล เหมือนลมประหารต้นไม้อันมีกำลังทุพพลภาพได้ฉันนั้น นี้พระคาถาต้น คาถาสองรองลงไป
อสุภานุปสฺส วิหรนฺตํ อินฺทริเยสุ สํวุตํ
โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญุ สทํ อารทฺธวิริยํ
ตํ เว นปฺปสหติ มาโร วาโต เสลํ ว ปพฺพติ
ผู้ที่เห็นอารมณ์อันไม่งาม สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร หรือโภชนาหาร มีความเชื่อ ปรารภความเพียรอยู่ มารย่อมประหารบุคคลผู้นั้นไม่ได้ เหมือนอย่างลมประหารภูเขาอันล้วนแล้วด้วยศิลาเขยื้อนไม่ได้ฉันนั้น
จกฺขุนา สํวโร สาธุ สาธุ เตน สํวโร ฆาเนน วํวโร สาธุ ชิวํหาย สํวโร กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาวาย สํวตร มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร สพฺพตฺถ สํวุโต ภิกฺขุ สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
แปลเนื้อความว่าสำรวมตาได้ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมหูได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมจมูกได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมลิ้นได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมกายได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมวาจาได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมใจได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำรวมในที่ทั้งหมดปรากฏว่ายังประโยชน์ให้สำเร็จได้โดยแท้ ผู้ศึกษาธรรมวินัยเป็นผู้สำรวมแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ในอินทรีย์ทั้งสิ้น เมื่อสำรวมได้เช่นนี้ ตัดสินว่า สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปด้วยประการดังนี้ นี่สังวรกถา แสดงการสำรวม
แต่ว่าที่กล่าวมานี้ ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ถ้าจะอรรถาธิบายขยายความในการที่ปล่อยขันธ์ ๕ เป็นลำดับไป ขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เราแบ่งเป็นภาระหนักอยู่ในบัดนี้ แล้วอวดดีด้วยนะ ภาระของตัวเองหนักพออยู่แล้ว ยังอวดไปแบกภาระของคนอื่นเขาเข้าอีกด้วยเอากันละตรงนี้ อวดดีแบกภาระของคนอื่นเขาเข้าด้วย ไม่ใช่แบกน้อยด้วย บางคนแบกหลายๆ ขันธ์ แอบไปแบกเข้าขันธ์ ๕ ขันธ์อีกแล้ว หญิงก็ดี ชายก็ดีแอบไปแบกเข้าอีก ๕ ขันธ์ แล้วรวมของตัวเข้าเป็น ๑๐ ขันธ์แล้ว หนักเข้าก็หลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์ เป็น ๑๕ ขันธ์ แบกเอาไป แบกเอาไปเหอะ เอ้าหนัก ๆ เข้าหลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์แล้วเป็น ๒๐ ขันธ์ นาน ๆ หลาย ๆ ปีเข้าหลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์แล้ว เป็น ๒๕ ขันธ์ นานๆ หลุดออกมาอีก ๕ ขันธ์ แล้วเป็น ๓๐ ขันธ์ ดังนี้แหละ บางคนแบกถึง ๔๐,๕๐,๖๐,๗๐,๘๐,๙๐ บางคนถึง ๑๐๐ ขันธ์ สมภารแบกตั้งพนขันธ์เชียวนาไม่ใช่น้อย ๆ นั่นอวดดีละ ถ้าอวดดีอย่างนี้ต้องหนักมาก เขาจึงได้ชื่อว่า สมภาร สมภาร แปลว่า หนักพร้อม หนักรอบตัว พ่อบ้าน แม่บ้าน พ่อครัว แม่ครัว ก็เหมือนกัน หนักใหญ่อีกเหมือนกัน หนักรอบอีกเหมือนกัน เพราะแบกขันธ์ทั้งนั้น ที่ทุกข์ยากลำบากกันหนักหนาทีเดียว เพราะแบกขันธ์เหล่านี้แหละ ต้องปลูกบ้านเป็นหย่อมๆ เป็นหลังเป็นพืดไป นั่นเพราะอะไร บริหารขันธ์ แบกขันธ์ทั้งนั้น แบกภาระหน้าที่หนักทั้งนั้น ไม่ใช่เล็กน้อย ไม่ใช่พอดีพอร้ายเพราะเหตุดังนั้น การแบกภาระ ของหนักนี่แหละ ถ้าว่าปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ละก็ เป็นทุกข์หนักทีเดียว บุคคลผู้แบกของหนักไป บุคคลผู้แบกขันธ์ ๕ ที่หนักไป ถ้าว่าปล่อยวางขันธ์ ๕ ไม่ได้ก็เป็นทุกข์แท้ ๆ ถ้าปล่อยวางขันธ์ ๕ เสียได้ก็เป็นสุขแท้ ๆ เหมือนกัน ตรงกันข้ามอย่างนี้
แต่ว่าวิธีปล่อยขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเล็กน้อย ไม่ใช่ของปล่อยง่าย ถ้าปล่อยไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ปล่อยได้ก็เป็นสุข แต่ขันธ์ ๕ จริง ๆ เราไม่รู้จักมันเสียแล้วนะ ปล่อยมันอย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณน่ะ ? เอาเถอะแก่เฒ่าอยู่วัดอยู่วาไปตามกัน บวชแล้วก็ตาม ไม่บวชก็ตาม ถามจริง ๆ เถอะว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จริง ๆ น่ะคืออะไร ? เอาละอึกอักกันทีเดียว ไม่เข้าตัวแท้ ๆ ไม่เข้าใจ
รูปน่ะคือร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมกันอยู่นี้ ถ้าว่าแยกออกไปก็เป็น ๒๘ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๔ เป็นรูป ๒๘ ประการดังนี้ นี่แหละมีรูปเท่านี้ เป็นเบญจขันธ์นี้ รูป ๒๘ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นามขันธ์ ๔ โดยย่อ สังขาร ๓ วิญญาณ ๖ เวทนาความรู้สึก สัญญาความทรงจำ สังขารความคิด วิญญาณความรู้เป็นดวงสีต่าง ๆ กันส่วนเวทนาก็เป็นดวง ถ้าสุขเวทนาก็ใส ถ้าทุกขเวทนาก็ขุ่น ดังนี้เป็นดวง ๆ ดังนี้
สัญญาความจำก็เป็นดวงเหมือนกัน เป็นดวงต่างกัน ดีชั่วหยาบละเอียดเลวประณีต
สังขารความคิดดี คิดชั่ว คิดไม่ดีไม่ชั่ว นี่ก็เป็นอีกดวงเหมือนกัน
วิญญาณความรู้ ความรู้ก็เป็นดวงอีกเหมือนกัน
ต้องรู้จักพวกนี้ให้เห็นพวกนี้เสียก่อน ให้เห็นขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเสียก่อน ให้เป็นปฏิบัติ ที่แสดงแล้วนั่นเป็นปริยัติ ถ้าปฏิบัติต้องเห็น เห็นขันธ์ทั้ง ๕ นั่น รูปเป็นดังนี้โตเล็กเท่านั้น สัณฐานอย่างนั้น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อเห็น เบญจขันธ์ทั้ง ๕ แล้วก็ดูความจริงของมันขันธ์ ๕ เหล่านี้น่ะ ถ้าแม้ว่าขืนไปยึดถือมันเข้าไว้ละก็เป็นทุกข์ ท่านถึงได้วางตำรับตำราเอาไว้ว่า ปญฺจุปาทานขนฺธา ทุกฺขา ยึดถือมั่นในเบญจขันธ์ ๕ นั่นเป็นทุกข์ ถ้าหากว่าปล่อยเบญจขันธ์ ทั้ง ๕ ได้ก็เป็นสุขแต่ว่าปล่อยไม่ใช่ได้ง่าย ปล่อยไม่ได้ง่ายเหมือนอะไร ปล่อยไม่เป็นถ้าปล่อยเป็นปล่อยได้ง่าย ปล่อยไม่เป็นปล่อยได้ยาก ปล่อยไม่เป็นเหมือนอะไร ? เหมือนเด็ก ๆ กำไฟเข้าไว้ ยิ่งร้อนยิ่งกำหนักเข้ายิ่งหนักแน่นหนักเข้า ร้องใจหายใจคว่ำก็ร้องไป ปล่อยไม่เป็นคลายมือไม่เป็น ถ่านก้อนที่กำเข้าไว้น่ะ เมื่อเด็กกำเอาเข้าไว้แล้ว กำเสียดับเลยทีเดียว กำเสียมิดทีเดียว มือก็ไหม้เข้าเป็นรูปหนึ่งแล้ว นั่นเพราะอะไร เด็กมันปล่อยถ่านไฟไม่เป็น ปล่อยไม่เป็นหรือมันไม่ปล่อย ? ปล่อยไม่เป็นจริง ๆ ถ้าปล่อยเป็นมันก็ปล่อยเหมือนกัน เหมือนพวกเรานี่แหละ ยึดมั่นเอาไว้ในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เข้าไว้ปล่อยไม่เป็นไม่รู้จะปล่อยท่าไหน วางท่าไหนไม่รู้ วางไม่ออก ปล่อยไม่ออก ปล่อยไม่เป็นวางไม่เป็นหรือปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ ? ไอ้ที่ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้อีกพวกหนึ่ง ไอ้ที่ปล่อยไม่เป็นน่ะพวกหนึ่ง
ปล่อยไม่ได้ย่ะ รู้แล้วว่าปล่อยเท่านั้นวางเท่านั้นไม่ยอมปล่อยไม่อยากปล่อยเพราะอะไร ? เสียดายมัน นั่นอีกพวกหนึ่ง ไม่อยากปล่อยขันธ์ ๕ อยากจะได้ขันธ์ ๕ ให้มากขึ้น นั่นพวกหนึ่ง
ไอ้ที่ปล่อยไม่เป็นน่ะพวกหนึ่ง ไม่ได้เล่าเรียนศึกษา ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในใจธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนฝนใจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนในใจธรรมของพระพุทธเจ้า อ้พวกนั้นปล่อยไม่เป็น
ไอ้พวกที่ได้ฟังแล้วจะปล่อยก็เป็น แต่ว่าเสียดายไม่ยอมปล่อย อีกพวกหนึ่งตั้งใจปล่อยจริง ๆ แต่ปล่อยไม่ได้ ไอ้ที่ไม่อยากปล่อยน่ะ เหมือนอะไรล่ะ ? เหมือนพรานวางเบ็ดเมื่อปลาติดเบ็ดแล้ว ถ้าปลาตัวเล็ก ๆ พอจะปลดปล่อยได้ ถ้าปลาถึงขนาดเข้าก็ปล่อยไม่ได้ เสียดายต้องใส่เรือของตัวเองไป ไอ้อยากปล่อยแต่ปล่อยไม่ได้น่ะเหมือนอะไร ? เหมือนนกติดแร้ว อยากปล่อยแต่เครื่องติดมันมี มันมีเหมือนอะไรล่ะ นี่แหละเหมือนอย่างเราครองเรือนอย่างนี้แหละ อยากจะปล่อยมัน แต่ว่าเครื่องติดมันมีเลยปล่อยไม่ได้ เสียดายมันปล่อยไม่ได้ มันติดอยู่ดังนั้นแหละ ปล่อยไม่ถนัด เพราะเหตุฉะนี้แหละ เบญจขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้ายต้องถอดกัน ไม่ถอดก็ปล่อยไม่ได้
วิธีถอดเบญจขันธ์เบื้องต้นต้องสำรวม ที่จะสำรวมน่ะต้องพิจารณาเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เสียก่อน ว่าเป็นของไม่ดีไม่งาม เป็นของไม่ดีไม่งามนะ เป็นของหนักจริง ๆ นะ รู้ว่าเป็นของหนักแล้ว เริ่มต้นทีเดียวเมื่อเห็นว่าหนักละก็เริ่มต้นสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลยทีเดียว สำรวมระวังไว้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในเวลาที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์มากระทบ ไม่ให้ความชอบความไม่ชอบ ซึ่งเป็นกิเลสหยาบเข้ามากระทบได้ สละเสีย เมื่อสละเช่นนั้น ถ้าว่าเกียจคร้านไม่ได้นะ ต้องหมั่นขยันทีเดียวต้องมีความเชื่อมั่นว่าปล่อยได้จริง แล้วขยันหมั่นเพียรจริง ๆ นั่นแหละจึงปล่อยได้ ถ้าไม่สำรวมระวังปล่อยพลั้งเผลอละก็ เหมือนดังคนเกียจคร้านมีปัญญาเลวทราม ก็ต้องรัดรึงตรึงตราอยู่ในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ก็บุคคลมีศรัทธามีความเพียรดี มีความเพียรหมั่นขยันกลั่นกล้านั่นแหละอาจปล่อยขันธ์ ๕ ได้ละ แต่ว่าวิธีจะปล่อย ท่านชี้แจงแสดงออกไปเป็นตำรับตำราออกไปเป็น ส่วน ๆ ให้เป็นตำรับตำราออกไปว่า จักฺขุนา สํวโร สาธุ สำรวมตา ได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ยังประโยชน์ให้สำเร็จอย่างไร ? ความติดมั่นใน รูปอารมณ์ ก็ไม่มี สำรวมหูได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สำเร็จอย่างไร ความติดมั่นในสัททารมณ์ก็ไม่มี หยุดไปได้ สำรวมจมูกได้ความติดมั่นถือมั่นในกลิ่นก็ไม่มี หลุดไปได้ สำรวมในลิ้นได้ก็ไม่ติดในรส สำรวมกายได้ สัมผัสกูหลุดไป สำรวมวาจาได้ ที่จะมีโทษทางวาจาก็ไม่มี หลุดไป สำรวมได้โทษทางใจก็ไม่มี ยังประโยชน์ให้สำเร็จเป็นชั้น ๆ ไปดังนี้ ความสำรวมทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นแหละ ทั้ง ๖ อย่างสำรวมได้แล้วก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ได้ทั้งหมด ปรากฏว่าผู้ศึกษาพระธรรมวินัยต้องเป็นผู้มีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ เมื่อมีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้แล้วได้ชื่อว่าสำรวมดีในสิ่งทั้ง ๖ ประการ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำรวมใจดีแล้วหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้จริง ๆ นะ
เขาทำกันอย่างไร ?
ต้องทำใจให้หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางกายมนุษย์ที่เคยแสดงอยู่เสมอ ๆ เข้าสิบเข้าศูนย์ให้ดีศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ พอหยุดนิ่งก็เข้ากลางของกลาง กลางของกลาง เป็นลำดับไป เมื่อเข้ากลางของกลางเป็นลำดับจนกระทั่งถึงดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์หยาบหลุด
หยุดอยู่ศูนย์กลางของธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด ถูกส่วนเข้า เข้ากลางของกลางหยุดเรื่อยไปถูกส่วนเข้าถึงดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
เข้าถึงกายทิพย์ กายมนุษย์ละเอียด ก็หลุดไป
เข้าถึงกายทิพย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ ก็หลุดไป
เข้าถึงกายรูปพรหม กายทิพย์ละเอียด หลุดไป
เข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด กายรูปพรหมหยาบ หลุดไป
เข้าถึงกายอรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด หลุดไป
เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ หลุดไป
เข้าถึงกายธรรม กายอรูปพรหมละเอียดหลุดไป นี่หลุดไป ๘ กายแล้ว
เข้าถึงกายธรรมโคตรภูละเอียด กายธรรมโคตรภูหยาบ ก็หลุด
เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหยาบ กายธรรมโคตรภูละเอียดหยุดไป
เข้าถึงกายธรรมพระโสดาละเอียด กายธรรมพระโสดาหยาบ ก็หลุดไป
เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคำหยาบ กายพระโสดาละเอียด ก็หลุดไป
เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคาละเอียด กายพระสกทาคาหยาบ ก็หลุดไป
เข้าถึงกายธรรมพระอนาคาหยาบ กายพระสกทาคาละเอียด ก็หลุดไป
เข้าถึงกายธรรมพระอนาคาละเอียด กายพระอนาคาพยาบ ก็หลุดไป
เข้าถึงกายพระอรหัตหยาบ หรือพระอรหัตมรรค กายพระอนาคาละเอียด ก็หลุดไป
เข้าถึงกายพระอรหัตละเอียด หรืออรหัตผล กายพระอรหัตหยาบ หรืออรหัตมรรคก็หลุดไป
พอเข้าถึงกายธรรมอรหัตผลเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนะ เรียกว่า เข้าถึงวิราคธาตุ-วิราคธรรมจริง ๆ หลุดจากธรรมที่ปะปนด้วยกิเลส สราคธาต-สราคธรรม หลุดหมด เบญจขันธ์ทั้ง ๕
ขันธ์ ๕ ของมนุษย์ ขันธ์ ๕ ของกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเข้าถึงกายทิพย์ กายทิพย์ละเอียดแล้วก็หลุด
ขันธ์ ๕ ของกายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด เมื่อเข้าถึงกายรูปพรหม รูปพรหมละเอียดก็หลุด
ขันธ์ ๕ ของกายรูปพรหมรูปพรหมละเอียดเข้าถึงอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียดก็หลุดหลุดหมดหลุดเป็นชั้น ๆ ไป
ขันธ์ ๕ ของกายอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด ถึงกายธรรมเสียแล้ว ก็หลุด
ถึงกายธรรมพระโสดา ขันธ์ ๕ ของกายธรรมโคตรภูหยาบ โคตรภูละเอียด หลุด เข้าถึงกายธรรมพระสกทาคาแล้ว กายธรรมของโสดา โสดาละเอียดหลุด
เข้าถึงกายธรรมของพระอนาคาหยาบ อนาคาละเอียดแล้ว กายธรรมของพระสกทาคาหยาบ สกทาคา ละเอียดหลุดออกไป เช่นนี้ เป็นชั้น ๆ เช่นนี้เรียกว่ารู้จักสำรวมลูกส่วนเข้าแล้ว หลุดเป็นชั้น ๆ ไปดังนี้
เมื่อหลุดออกไปได้แล้วเห็นว่าหลุดจริง ๆ ไม่ใช่หลุดเล่น ๆ ถ้าว่าโดยย่อแล้วละก็พอถึงกายธรรมหยาบละเอียดเท่านั้น ไปนิพพานได้แล้ว แต่ว่า หลุด ดังนี้เป็น ตทังควิมุตติ ประเดี๋ยวก็กลับมาอีก พอหลุดแค่พระโสดา นั่นเป็นโลกุตตร ข้ามขึ้นจากโลกได้แล้ว เป็นอริยบุคคลแล้ว แต่ว่าไม่พ้นจากไตรวัฎฎ์ไป ต้องอาศัยไตรวัฎฎ์ เพราะยังไปนิพพานไม่ได้ ต้องอาศัยกามภพรูปภพอยู่ แต่ว่าอาศัยอยู่แต่เปลือกนอก ข้างในส่อนจากเปลือกนอกเสียแล้ว อย่างนั้นก็พอใช้ได้ แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด ต้องถึงที่สุดคือพระอรหัตผลนั่นแหละจึงจะพ้นเด็ดขาดเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรมจริง ๆ หลุดได้จริง ๆ เช่นนี้ อย่างนี้เอาตัวรอดได้อย่างนี้
เมื่อรู้จักหลักความหลุดพ้นเช่นนี้แล้วก็ตั้งใจให้แน่วแน่ ต้องมีความสำรวมเบื้องต้นที่ท่านได้ชี้แจงแสดงไว้ในอารมณ์ที่ไม่งาม แล้วสำรวมระวังให้ดี รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร มีความเพียรมีศรัทธากล้าหาญไม่ย่อท้อ นั่นแหละคงจะไปถึงที่สุดได้ ทว่าย่อท้อเสียแล้วถึงที่สุดไม่ได้ง่าย ให้เข้าใจหลักอันนี้หลักที่แสดงแล้ว ที่แสดงในทางขันธ์ ๕ เป็นของหนักแล้ว คิดสละขันธ์ ๕ นั่นได้ด้วยความสำรวมระวัง นี้เป็นทางปริยัติ เป็นลำดับไป จนเข้าถึงถอดกายเป็นชั้น ๆ ออกไป แล้วจนกระทั่งถึงพระอรหัตถึงวิราคธาตุวิราคธรรม กายพระอรหัตพยาบ พระอรหัตละเอียดนั้น ในแนวนั้นเป็นทางปฏิบัติ ปฏิเวช ก็เป็นชั้น ๆ เคยแสดงแล้ว กายมนุษย์ เมื่อปฏิบัติถูกส่วนเข้าแล้วเห็นกายมนุษย์ละเอียด นั่นเป็นนิโรธ เป็นปฏิเวธรู้แจ้งแทงตลอดของกายมนุษย์
เมื่อกายมนุษย์ละเอียด เข้าถึงกายทิพย์ ก็เป็นปฏิเวธของ กายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ เมื่อเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายทิพย์รู้จักกายทิพย์ละเอียดแล้ว
เมื่อกายทิพย์ละเอียด เข้าถึงกายรูปพรหม ก็เป็นปฏิเวธของกายทิพย์ละเอียด
กายรูปพรหม เข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายรูปพรหม
กายรูปพรหมละเอียด เข้าถึงกายอรูปพรหม ก็เป็นปฏิเวธของกายรูปพรหมละเอียด
กายอรูปพรหมหยาบ เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียดก็เป็นปฏิเวธของกายอรูปพรหมหยาบ
กายอรูปพรหมละเอียด เห็นกายธรรม ก็เป็นปฏิเวธของกายอรูปพรหมละเอียด
กายธรรม เห็นกายธรรมละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมหยาบ
กายธรรมละเอียด เห็นกายธรรมพระโสดา ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมละเอียด
กายธรรมพระโสดา เห็นกายธรรมพระโสดาละเอียด ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระโสดาหยาบ
เมื่อกายธรรมของพระโสดาละเอียด เห็นกายธรรมของพระสกทาคา ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระโสดาละเอียด
กายธรรมพระสกทาคา เป็นกายธรรมละเอียดของพระสกทาคาเอง ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระสกทาคา
กายธรรมละเอียดของพระสกทาคา เห็นกายธรรมพระอนาคาหยาบ ก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระสกทาคาละเอียด
กายธรรมพระอนาคา เห็นกายธรรมละเอียดของพระอนาคาเองก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอนาคา
กายธรรมของพระอนาคาละเอียด เห็นกายธรรมของพระอรหัตก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอนาคาละเอียด
กายธรรมของพระอรหัตหยาบหรืออรหัตมรรค เข้าถึงกายธรรมของพระอรหัตละเอียด หรือพระอรหัตผลก็เป็นปฏิเวธของกายธรรมพระอรหัต
นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นมาลำดับอย่างนี้ เมื่อรู้จักหลักดังนี้ละก็ การเล่าเรียนในทางพุทธศาสนา การแสดงก็ดี การสดับตรัยฟังก็ดี ให้รู้จัก ทางปริยัติ ทางปฏิบัติ ทางปฏิเวธ จึงจะเอาตัวรอดได้ ถ้ารู้จักแต่เพียงทางปริยัติ ยังข้องขัดอยู่ในทางปฏิบัติต้องให้เข้าถึงทางปฏิบัติ ยังข้องขัดอยู่ในทางปฏิเวธให้เข้าถึงทางปฏิเวธ นั่นแหละจึงจะเอาตัวรอดได้ ด้วยประการดังนี้
ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตฺลี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้