สุขน้อย..สุขใหญ่
ถ้าหากว่าฉลาด รู้จักให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าแม้ว่ายังไม่ได้สูงขึ้นไป ก็จะได้สุขในชั้นจาตุมหาราช ดาวดึงส์ อย่ามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี เหล่านี้มันก็วนเวียนอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รถ สัมผัส นั่นแหละในกามนั่นเอง มันยังเป็นกาม ไปทางโลกก็สุขนิดหน่อยเท่านี้ ไม่ได้อะไรละ สุขอยู่ชั่วคราว
มนุษย์นี่ก็สุขชั่วคราว ประเดี๋ยวเดียว อายุ ๑๐๐ ปีเท่านั้น อย่างมากหรือน้อยกว่านั้น ก็ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
ถ้าเราได้เห็นเทวดาก็สุขตามส่วนขึ้นไป อายุก็ตามส่วนขึ้น จะนานหนักเข้า แต่ว่าถึงกระไรก็เถอะ ปรนิมมิตวสวัตตี สุขมากน้อยเท่าใดก็ช่าง สุขประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไม่มากเท่าใด
ไปถึงรูปพรหมก็สุขเป็นกัปๆ เหมือนกัน เป็นมหากัป ถึงอกนิฏฐาภพ ถึงเวหัปผลานั่นแน่ อสัญญีสัตตาโน่น ๕๐๐ มหากัลป์ถึง ๕๐๐ มหากัลป์ ก็สุขนิดเดียวอีกเหมือนกัน ไม่จริงๆ หลอกๆ ไม่จริงหรอก
สุขในชั้นเนวสัญญานาสัญญาอกนิฏฐาโน่น สุขสูงขึ้นไป สุขสูงขึ้นไปขนาดนั้นก็ขนาด ๑,๐๐๐ มหากัปเท่านั้น ไม่เท่าไรนัก สุขยิ่งขึ้นไป
นี่ไม่ใช่สุขในทางนิพพาน มีชั้นสุขสูงสุดอย่างนี้ ถ้าสุขในภพถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัปในโลก
เพราะติดสุขในภพเหล่านี้แหละเรียกว่า ติดสุขน้อย ไม่ใช่สุขใหญ่
สุขใหญ่ คือ สุขอันไพบูลย์ ให้ละสุขน้อยอันนั้น เมื่อไปถึงแล้วก็ไม่ติด สุขหนักขึ้น ไม่ถอยเลย ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ สุขทวีขึ้นไปเหล่านี้เลย ไม่มีถอยกลับ
นี่ต้องนับว่าวิชชาวัดปากน้ำ วิชชาสมถะวิปัสสนาเดินให้ถูกแนวนั้นทีเดียว เข้าถึงธรรมกายให้ได้ เข้าถึงธรรมกายเป็นลำดับไป ยิ่งใหญ่ไพศาลนับประมาณไม่ได้ จะไปพบพระพุทธเจ้า พระนิพพาน พระอรหันต์ ก็รู้ตัวทีเดียวว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ได้รู้จักของจริง เห็นของจริงอย่างนี้ ไม่เสียทีที่พ่อแม่อาบน้ำป้อนข้าวมา อุ้มท้องมาไม่หนักเปล่า แม้บุคคลที่จะทนไว้ด้วยเศียรเกล้าก็ไม่เมื่อยเปล่า ไม่หนักเปล่า
ได้ชื่อว่าเป็นคนมีปัญญา ประกอบคุณสมบัติยิ่งใหญ่ไพศาลใส่อาตมาของตนได้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "สุขที่สัตว์ปราราถนาจะพึงได้"
๑๘ กันยายน ๒๔๙๗