ปกิณณกธรรม เรื่อง คาถาลดความอ้วน
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี
สมัยนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระสุธาหารหุงด้วยข้าวสารหนึ่งทะนาน เสวยแล้วทรงอึดอัด เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นเสวยแล้วทรงอึดอัด จึงได้ตรัสพระคาถานี้ในเวลานั้นว่า
มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณ
ในโภชนะที่ได้มาก ย่อมมีเวทนาเบาบาง
เขาย่อมแก่ช้า อายุยืน.
สมัยนั้น มหาดเล็กหนุ่มชื่อสุทัศนะ ยืนอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์พระเจ้าปเสนทิโกศล.
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงตรัสเรียกสุทัศมาณพมารับสั่งว่า มานี่สุทัศนะ เจ้าจงเรียนคาถานี้จากพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจงกล่าวในเวลาเราบริโภคอาหาร อนึ่ง เราจะให้ค่าอาหารแก่เจ้าวันละ ๑๐๐ กหาปณะทุกวัน.
สุทัศนมาณพรับสนองพระดำรัสพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า ดังนี้แล้วเรียนคาถานี้จากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กล่าวในเวลาที่พระเจ้าปเสนทิโกศล เสวยพระกระยาหารว่า
มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า อายุยืน.
ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนมาณพนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนมาณพ เธออย่ากล่าวคาถานี้พร่ำเพรื่อ จงยืนใกล้ที่เสวยของพระราชา อย่ากล่าวเมื่อเสวยพระกระยาหารก้อนแรก พึงกล่าวเมื่อทรงถือก้อนสุดท้าย พระราชาทรงได้ยินแล้ว จักทรงทิ้งก้อนข้าว
เมื่อเป็นดังนั้น เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ก็พึงชักถาดออกมานับเมล็ดข้าว ได้เท่าใด รู้จักกับที่ผสมกับข้าวนั้น แยกกับข้าวออก วันรุ่งขึ้น ก็พึงลดข้าวสารเสียเพียงเท่านั้น พึงกล่าวเฉพาะในเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า อย่ากล่าวในเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น
มาณพนั้นรับพระพุทธดำรัสแล้ว ได้กล่าวคาถาโดยทำนองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนในเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น เพราะในวันนั้นพระราชาเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จเสด็จไปเสียแล้ว.
พระราชาทรงระลึกถึงพระดำรัสของพระทศพล ก็ทิ้งก้อนข้าวลงในถาดนั่นแหละ เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว มาณพก็ชักถาดออกมานับเมล็ดข้าว ได้เท่าใด วันรุ่งขึ้น ก็ลดข้าวสารเสียเท่านั้น.
ต่อมาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามมาณพนั้นว่า พระราชาเสวยเท่าไร.
มาณพนั้นทูลตอบว่า ข้าวสุกทะนานหนึ่ง พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ด้วยปริมาณเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอสำหรับบุรุษคนหนึ่ง ตั้งแต่นี้ไป เธออย่ากล่าวคาถาอีกเลย.
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงดำรงอยู่โดยมีพระกระยาหารหนึ่งทะนานข้าวสุกเป็นอย่างมากเป็นลำดับมา.
ต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบพระวรกายด้วยฝ่าพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้ง ๒ คือประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์ภายหน้าหนอ.
Cr.ขุนพลไร้เงา
จบเรื่อง คาถาลดความอ้วน
พบกันใหม่โอกาสหน้า