วันตายของพันเอกพิเศษเสนาะฯ
ข่าวตอนดึกคืนวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๑ ทั้งวิทยุและโทรทัศน์แจ้งว่า เมื่อตอนหัวค่ำ พันเอกพิเศษเสนาะ จินตรัตน์ ผู้เคยตายแล้วฟื้นมา สองครั้งได้ถึงแก่กรรมเป็นครั้งที่ ๓ คราวนี้ไม่ฟื้นอีกแล้ว ข้าพเจ้าฟังแล้วมีความรู้สึกเกิดขึ้น ๒ ประการ
ประการแรกรู้สึกธรรมดา คือ สลดใจเล็กน้อยว่า คนที่เคยมีโอกาสรู้จัก เป็นคนทำประโยชน์ให้พระพุทธศาสนา
ในแง่ยืนยันเรื่องตายแล้วมีโลกหน้า เรื่องนรก วรรค์มีจริง และเป็นผู้ทำประโยชน์ให้ข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวงอยู่ด้วยผู้หนึ่งในแง่ที่ว่า ถ้า สถานที่ใดพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายให้ข้าพเจ้าไปแนะนำเรื่องธรรมปฏิบัติและบรรยายธรรมแล้ว ข้าพเจ้าพบว่ามีผู้คนบางส่วนไม่เชื่อเรื่องกฎของกรรม ข้าพเจ้ามักแนะนำให้ที่นั่นไปเชิญท่าน พันเอกผู้นี้มาบรรยายประสบการณ์หลังความตายทั้ง สองครั้งเหล่านั้น ซึ่งทำให้ได้ รับผลดียิ่งต่อข้าพเจ้าทุกครั้งไป คือคนที่กำลังคัดค้านอยู่ ต้องเลิกไปโดยอัตโนมัติ ทำให้ข้าพเจ้าดำเนินงานเผยแผ่ธรรมได้โดยสะดวกต่อไป เท่ากับท่านผู้นี้ช่วยงานของข้าพเจ้าโดยอ้อม ท่านทำให้โดยไม่รู้ตัว
นับแต่นี้ต่อไป ข้าพเจ้าไม่มีหนทางให้ท่านช่วยเหลือได้อีกแล้ว จะมีอยู่ก็เพียงเสียงในเทป ซึ่งมีคุณค่าไม่เท่าตัวจริง เพราะซักถามเพิ่มเติมกันไม่ได้ ข่าวการถึงแก่กรรมของท่าน ย่อมทำให้เกิดความเสียใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา
ความรู้สึกประการที่ สองที่เกิดตามมา เป็นความรู้สึกฉงน สนเท่ห์ใจในเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง เรื่องมีดังนี้ เมื่อข้าพเจ้าฟังคำบรรยายของนายพันเอกเสนาะฯ ข้าพเจ้า จำได้แม่นยำว่า ท่านกล่าวว่า ท่านจะสามารถเข้าไปอยู่ในบ้านของท่านที่สวรรค์ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๑ เป็นต้นไป ทั้งท่านและผู้ฟังจะเข้าใจตรงกันว่า วันดังกล่าวจะเป็นวันตายของท่าน ข้าพเจ้าก็เข้าใจและจำไว้ดังนั้น
แต่เวลาใดก็ตามที่ข้าพเจ้าไปบรรยายธรรมใน สถานที่ต่างๆ เมื่อพูดเกี่ยวข้องถึงพันเอกพิเศษเสนาะฯ ข้าพเจ้าจะกล่าววันตายของท่าน ผู้นี้เป็นวันที่ ๑๓ มิถุนายน ทุกครั้งไป ทำให้ผู้ฟังที่เคยฟังพันเอกท่านนี้พูดต้องมากล่าวท้วงติงต่อข้าพเจ้าอยู่บ่อยๆทุกครั้งที่มีคนท้วงติงข้าพเจ้าจะเถียงเขาเสมอว่า
ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๑ เขาถึงกับเอาเทปที่อัดเสียงข้าพเจ้ามายืนยันว่า ข้าพเจ้าพูดว่า วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๑ (จุดประสงค์ด้วยความหวังดี ไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าพูดผิดๆ ถูกๆ เกรงผู้ฟังจะนึกตำหนิ)ข้าพเจ้าก็นึกตำหนิติเตียนตนเองว่า.. โธ่เอ๊ย ยังไม่ทันแก่อายุถึง ๖๐-๗๐ ปีเลย ขาด สติ ป้ำๆเป๋อ หลงๆ ลืมๆ แล้วรึเนี่ย จำไว้ใน สมอง ว่าเป็นวันที่ ๑๖ แต่เวลาพูดทำไมปล่อยให้ปากพูดพล่อยๆ ว่าเป็นวันที่ ๑๓
น่า สงสารเสียจริงๆ...
แต่อีกใจหนึ่งก็คิดค้าน โต้เถียงอย่างเข้มแข็ง เพราะรู้ตนเองอยู่เสมอว่า เวลาใดที่ต้องบรรยายธรรม หรือแนะนำธรรมปฏิบัติ ข้าพเจ้าจะเอาใจตรึกไว้ในศูนย์กลางกายเสมอๆ นึกไปให้จิตตกอยู่ใน สภาพใสสว่าง
เต็มที่เท่าที่สามารถทำได้ ความรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจขณะนั้น มีสิ่งใดไหล ออกมาหรือผุดขึ้นมา หรือเป็นภาพอันใด ข้าพเจ้าก็จะพูดไปตามนั้น ปาก จึงเป็นเพียงเหมือนเครื่องรับวิทยุเท่านั้น รับคลื่นส่งจากทาง สถานีคือ
ศูนย์กลางกาย แล้วก็ส่งเสียงออกมา เมื่อทำดังนี้ก็เหมือนเราพูดอย่างมีสมาธิ พูดอย่างมี สติเต็มที่ จะพูดผิดพลั้งเผลอไปได้อย่างนั้นหรือ ใจจะทุ่มเถียงกันดังนี้ทุกครั้งที่ไปพูดผิดเรื่องวันตายของนายพันเอกท่านนี้
และก็ช่างกระไรเลย เรื่องอื่นๆ ไม่มีผิดพลาด ผิดซ้ำๆ อยู่ได้เรื่องเดียว พอวันตายจริงๆ มาเป็นวันที่ ๑๓ เหมือนคำพูดข้าพเจ้า จึงทำให้คิดถึงเรื่องปัญญาระดับต่างๆ การที่ข้าพเจ้าจำวันตายของท่านพันเอกเสนาะว่าเป็นวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๑ เรียกว่าสุตตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง หรือการศึกษาเล่าเรียนส่วนจินตมยปัญญา เป็น ปัญญาที่เกิดจากการคิดใคร่ครวญ แต่การที่ข้าพเจ้าเอาใจทำสมาธิจรดนิ่ง ุใสสว่างไสวอยู่ในศูนย์กลางกาย ทำให้รู้ถูกต้องตรงตามจริงยิ่งกว่าปัญญาจากการจดจำ คือรู้ว่า วันตายจริงๆ เป็นวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๑นี่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาสูงสุด
เมื่อพันเอกเสนาะท่านตายลง ในวันแรกๆ ข้าพเจ้าพบใครๆ ก็ถูกซักถามด้วยเรื่องของท่านมากมาย ข้าพเจ้ามิได้เตรียมตัวตอบคำถามเหล่านั้นไว้ก่อน จำเป็นต้องใช้วิธีที่เคยใช้ คือตรึกใจลงไปในศูนย์กลางกาย
มีความรู้เห็นอย่างไรเกิดขึ้น ก็พยายามชี้แจงไปตามนั้น เช่น มีคำถามว่า "ตายไม่ตรงที่พูดนี่ครับ ขาดไปตั้ง ๓ วัน งั้นเรื่องนรก สวรรค์ ก็ไม่มีจริงน่ะสิ"
ข้าพเจ้านึกในใจว่า...นี่จะหาเรื่องไม่เชื่อ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลัวบาป จะได้ทำผิดศีลผิดธรรมต่อไปให้สบายใจละสินี่ คน สมัยนี้ช่างขาดปัญญาเสียจริงๆ นรก สวรรค์จะมีจริงหรือเปล่าก็ช่างนรกช่าง สวรรค์ซิ ถ้าเราทำแต่ความดีเสียอย่าง ถึงไม่มี สวรรค์แต่ตอนที่มีชีวิตอยู่นี่ ก็จะมีแต่ความสุขความสบายใจ ไม่มีเวรมีภัยกับใครๆ เมื่อตายแล้วมีนรก สวรรค์จริง เราก็ต้องได้ไป สวรรค์.. แต่ปากตอบเขาไปตามที่นึกออกมาได้จากศูนย์กลางกาย
"การตายมันมีหลายสาเหตุ เช่น ตายเพราะหมดกรรม กรรมดีก็ได้ กรรมชั่วก็ได้ ตายเพราะหมดอายุขัย ตายเพราะหมดทั้งกรรมและอายุขัย และตายเพราะอุบัติเหตุ คือใครมากระทำให้ตายหรือทำตัวเองตายด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง กรณีท่านพันเอกเสนาะเป็นการตายที่ยังไม่ใช่หมดอายุขัย แปลว่าตายเพราะหมดกรรม กรรมที่เป็นอกุศลในอดีตมาส่งผล เป็นกรรมตัดรอนชีวิต ทำให้ท่านต้องตายด้วยอายุเพียงแค่นี้ ท่านบอกเดือนบอกปี
ได้ตรงนี่ก็นับว่าดียิ่งแล้วส่วนวันที่ที่คลาดเคลื่อนไปนั้นเข้าใจว่าเป็นเพราะหมอสร้างอุบัติเหตุให้แก่ท่าน ถ้าหมอทิ้งไว้ไม่รักษาท่านอาจจะมีชีวิตไปจนถึงวันที่ ๑๖ มิถุนายน แต่นี่หมอไปผ่าตัดเปลี่ยนไตให้ท่าน ร่างกาย
ปรับ สภาพไม่ได้ จึงเรียกว่าตายด้วยอุบัติเหตุผสมอยู่ด้วย ตายเพราะหมดกรรม หมดอายุ กำหนดวันตายได้แน่นอน แต่ตายเพราะอุบัติเหตุไม่แน่นอนเสมอไป ถ้าไม่เชื่อตอนนี้เราเอาปืนยิงกันดู ผู้ถูกยิงจะตายเดี๋ยวนี้เหมือนกัน"
ผู้ถามฟังแล้วเข้าใจ ยังพูดเสริมอีกว่า"จริงด้วยครับ ผมเห็นด้วย เพราะแต่เดิมหมอใช้วิธีล้างไตให้มาตลอด มาตอนจะตายนี้ล้างยังไงก็ใช้ไม่ได้ เค้าเลยผ่าตัด เรียกว่า เป็นอุบัติเหตุผสมอยู่ด้วยก็ได้ และอีกประการ ท่านพันเอกเสนาะท่านบอกว่า ท่านจะเข้าบ้านบนสวรรค์ของท่านได้วันที่ ๑๖ ตายล่วงหน้าไป ๒-๓ วัน คงใช้ในการเดินทางนะครับ"
คำถามอื่นๆ มีอีกเช่นว่า "ทำไมเมื่อตายครั้งแรก เวลาเดินทางไปรู้สึกหิว มีคนเอาอาหารที่เคยใส่บาตรไว้ สมัยมีชีวิตอยู่มาให้กิน แต่ไม่มีน้ำกิน รู้สึกหิวน้ำมาก ขอน้ำกิน เขาตอบว่าไม่มี เพราะไม่เคยทำบุญด้วยน้ำไว้ ทำไมร่างที่ตายแล้วอย่างนั้นจึงรู้สึกหิวได้"
"ก็ร่างที่ออกไปจากกายมนุษย์หยาบร่างนั้น แท้ที่จริงก็คือ กายมนุษย์ละเอียด หรือกายฝันของเรานั่นเอง เป็นกายใกล้เคียงกันอยู่กับกายมนุษย์มาก ความรู้สึกนึกคิดก็ดี ความสุขความทุกข์ทางกายก็ดีทางใจก็ดี ล้วนไม่แตกต่างอะไรกับกายเนื้อ เหมือนตอนนอนหลับที่เราฝันไปต่างๆ นั่นแหละ ยังหิวกระหาย ร้อนหนาว ชอบใจ ไม่ชอบใจ อะไรต่อมิอะไร ดังที่เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครที่ไม่เคยฝันทีนี้ เมื่อใดได้ไปเกิดเปลี่ยนภูมิ เช่น ไปเป็นเทวดา นางฟ้า ในเทวภูมิ กายทิพย์ที่ได้ใหม่ในภูมินั้นเป็นกายประณีตละเอียดกว่า ในกายนั้นจึงไม่มีความหิวความทุกข์ ที่คล้ายกายมนุษย์อย่างเราๆ อีก ตรงข้าม ถ้าไปเกิดใหม่ในอบายภูมิ ต้องไปเกิดเป็นกายสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็จะกลับมีทุกขเวทนาหนักกว่ากายมนุษย์ไปเสียอีก"
นอกจากนี้มีคำถามต่อเนื่องอีกมากมายเป็นสิบๆ คำถาม ข้าพเจ้าก็ตรึกนึกเอาใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย ก็สามารถนำคำตอบออกมาชี้แจงได้ทุกเรื่องไป
จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม1
อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล