สำนวนจีน : ตั๊กแตนจับจักจั่น
ในตอนปลายสมัยชุนชิวของประเทศจีน เมื่อเมืองอวู่ทำสงครามได้ชัยชนะเมืองเยว่แล้ว ก็เตรียมกองทัพยกไปตีเมืองฉีต่อไป ด้วยหวังจะครอบครองความเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว
ความดีใจในชัยชนะเหนือเมืองเยว่ ทำให้ฮ่องเต้เมืองอวู่ชะล่าใจจัดฉลองชัยชนะอยู่เป็นประจำ เพราะคิดเมืองเยว่คงหมดพิษสงไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
บรรดาขุนนางทั้งหลายพยายามจะกราบทูลฮ่องเต้ให้ยกเลิกการไปตีเมืองนี้ เนื่องจากเห็นตรงกันว่า
อาจถูกเมืองเยว่ตีตลบหลังได้ แล้วจะทำให้เมืองอวู่ต้องทำศึกสองด้าน ทั้งกับเมืองฉีและเมืองเยว่พร้อมกัน แต่
เนื่องจากฮ่องเต้เมืองอวู่มีพระราชบัญชาว่า
“หากมีใครกล้าขัดขวางการทำศึกครั้งนี้จะต้องถูกประหารชีวิตทุกคน”
เหล่าขุนนางจึงไม่มีใครกล้ากราบทูลทักท้วงอีกต่อไป
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฮ่องเต้เมืองอวู่กำลังเดินชม นกชมไม้ในสวนอย่างสราญพระทัย ก็ทรงเห็นพระราชโอรสสวมเสื้อผ้าเปียกโชก เดินถือคันธนูผ่านมา ฮ่องเต้ จึงถามพระราชโอรสว่า
“ลูกไปทำอะไรมา เสื้อผ้าถึงได้เปียกปอนไปทั้งตัวเช่นนี้”
พระราชโอรสกราบทูลว่า
“เมื่อสักครู่ หม่อมฉันไปฝึกยิงธนูที่บริเวณด้านหลังสวนดอกไม้ พบเห็นบนยอดไม้มีจักจั่นตัวหนึ่งเกาะอยู่ มันกำลังดูดกินน้ำค้างและส่งเสียงร้องเพลงดังลั่นอย่างเบิกบานใจ มันคงคิดว่า ตัวเองปลอดภัยมาก แต่หารู้ไม่ว่าที่ด้านหลังของมัน มีตั๊กแตนตัวหนึ่งกำลังจ้องตะครุบกินมันอยู่ และกำลังเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ
ขณะเดียวกันที่ด้านหลังของตั๊กแตนก็มีนกสีเหลืองอีกตัว กำลังจ้องมองตั๊กแตนและจักจั่นด้วยหวังว่าจะเป็นอาหารเช้าอันโอชะของมัน แต่เจ้านกสีเหลืองก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า ที่ใต้ท้องของมัน ได้มีหม่อมฉันเลือกมัน
เป็นเป้าซ้อมฝีมือยิงธนู เอาไว้แล้ว
หม่อมฉันค่อยๆ ยกธนูขึ้น เล็งไปที่นกสีเหลืองอย่างใจเย็น ในขณะที่สายธนูถูกน้าว มาหาตัวอย่างเต็มที่และเตรียมยิงลูกธนูออกไป คิดไม่ถึงว่าที่ด้านหลังหม่อมฉันจะเป็นสระน้ำ หม่อมฉันเสียหลักจากการตั้งท่ายิง ตกลงไปในสระน้ำจนเปียกปอนไปทั้งตัว”
ฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้นก็หัวเราะลั่น แล้วพูดกับพระราชโอรสว่า
“เรื่องนี้สอนให้ลูกรู้ว่า อย่าเห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า จนมองไม่เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง นับว่าเป็นบทเรียนที่ดีของลูกจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พระราชโอรสเห็นว่าได้จังหวะ จึงกราบทูลเรื่อง การทำศึกกับเมืองฉีทันที
“ท่านพ่อ ความจริงเรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นในปัจจุบัน อย่างเช่นเมืองอวู่ของเรายกทัพไปตีเมืองฉี แต่ไม่ได้ระมัดระวังเมืองเยว่ที่อยู่ข้างหลังจะฟื้นตัวกลับมาตีเมืองอวู่บ้างเลย ลูกคิดว่าเรากำลังเป็นเหมือนตั้กแตนจับจักจั่นที่ไม่รู้ว่าข้างหลังของตัวมันมีนกสีเหลืองคอยจ้องจับกินอยู่"
“ลูกรัก เรื่องแบบนี้ พ่อได้ยินมามากเกินพอแล้วเจ้าเลิกพูดถึงเสียเถอะ”
ฮ่องเต้ทรงรีบตัดบทแล้วเดินจากไป
ในเวลาต่อมา ขณะที่เมืองอวู่กำลังรบติดพันกับเมืองฉีอยู่นั้น เมืองเยว่ก็มีโอกาสฟื้นตัว และยกทัพมาตีขนาบเมืองอวู่จนแตกพ่ายในที่สุด
ตั้งแต่นั้นสำนวนจีน “ตั๊กแตนจับจักจั่น” ก็กลายมาเป็นข้อคิดสอนใจชาวจีนมาถึงทุกวันนี้
“ตั๊กแตนจับจักจั่น” เป็นสำนวนที่ให้ข้อคิดว่า
คนเราไม่ควรเห็นแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง เพราะถ้ามัวเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า นอกจากผลที่คาดจะไม่ได้ตามนั้นแล้ว ยังอาจจะเสียหายมาถึงชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ ญาติพี่น้อง ทั้งหมดของตนที่มีอยู่ และบางทีอาจจะเป็นอันตรายถึงกับชีวิต
เพราะฉะนั้น การจะทำอะไรก็ตามอย่าใช้ความโลภเห็นแก่ได้นำหน้าแต่ให้ใช้สติปัญญานำหน้า คิดให้รอบคอบทั้งผลได้และผลเสียที่ตามมา ว่าคุ้มค่าต่อการตัดสินใจทำลงไปหรือไม่ การกระทำด้วยสติปัญญาเช่นนี้ เราจึงจะพบกับความสำเร็จและความสุขที่แท้จริงเป็นผลตอบเเทน
โดย เสี่ยวเหลียงลือ