ความยึดถือในของไร้สาระ

วันที่ 21 มีค. พ.ศ.2563

ความยึดถือในของไร้สาระ

                    ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีลักษณะเฉพาะประจำตัวอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่าไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา คือไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร  ผู้ใดก็ตามที่มีความยึดถือเหนียวแน่น คือมีอุปาทานในสิ่งที่มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาอย่างนี้ ผู้นั้นย่อมยึดถือในสิ่งไม่มีสาระ ก็ต้องพบแต่ความทุกข์ไม่มีสิ้นสุด

 

                  ความยึดถือที่เรียกว่าอยู่ในขั้นอุปาทาน คือความยึดถือที่  ประกอบด้วยโลภะ (อยากได้ในกามคุณอารมณ์) และทิฏฐิ (ความเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น เห็นขันธ์ ๕ เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา)  ถ้าใครเป็นนักฟังเทศน์อยู่บ้าง คงจะเคยได้ยินพระท่านเทศน์ ถึงของทั้ง ๕ นี้ว่า เปรียบเสมือนของไม่มีสาระอะไรเลย ท่านว่า

 

รูปขันธ์ เปรียบเสมือนฟองน้ำ
เวทนาขันธ์ เหมือนต่อมน้ำ
สัญญาขันธ์ เหมือนพยับแดด
สังขารขันธ์ เหมือนต้นกล้วย
วิญญาณขันธ์ เหมือนเงาหรือเหมือนการเล่นกลมายา

 


               รูปขันธ์ ว่าเป็นเหมือนฟองน้ำ ผู้คนสมัยนี้คงไม่รู้จักฟองน้ำจริงๆ เสียแล้ว คงรู้จักแต่ฟองน้ำที่มีขายตามท้องตลาด นี่มันเป็นผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ฟองน้ำที่ใช้เปรียบเทียบเรื่องรูปขันธ์

 


               เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในวัยเด็ก ๘-๙ ขวบ เวลานั้นเขื่อนต่างๆ ในประเทศไทยยังไม่มีเลย เวลาหน้าฝน ฤดูน้ำหลาก ลำน้ำแม่กลองหน้าบ้าน  ข้าพเจ้าจะเอ่อล้นตลิ่ง น้ำสีแดง (คือแดงแบบสีของดินที่ปนมากับน้ำ)
ขุ่นเป็นดังน้ำโคลน พวกผู้ใหญ่มักจะห้ามเด็กๆ ว่า

"อย่าลงไปเล่นน้ำที่กำลังขึ้นใหม่ๆ กันนะ เดี๋ยวจะเป็นตาแดง"

เวลานั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นตาแดง คิดกันว่า

"อ้อ น้ำมันมีสีโคลนแดงๆ ไปอาบเข้า ตาเลยต้องแดงตามกระมัง"

 

                  พวกเด็กๆ มักจะเคยเป็นตาแดงกันมาแล้วทุกคน ไม่มีใครชอบอาการของมันเลย เคืองและระคาย ราวกับมีเม็ดกรวดเม็ดทรายอยู่ในตา  ตาก็แดงแฉะ ลืมไม่ขึ้น ขี้ตาออกมาเต็มไปหมด จนหนังตาบนกับตาล่าง
ติดกัน ลืมไม่ได้ ต้องใช้สำลีชุบน้ำอุ่นบรรจงเช็ด ใช้ยาหยอดหลายวันกว่าจะหาย เป็นโรคที่ติดต่อกันง่ายมาก เชื่อกันในสมัยนั้นว่าแค่มองดูคนที่เป็นเราก็จะติดโรคแล้ว

 

               ความจริงน้ำขึ้นใหม่ๆ นั้นเป็นน้ำที่ท่วมเลยตลิ่ง ท่วมไปตามพื้นดิน และบ้านเรือนราษฎร ก็สมัยก่อนหน้าบ้านในชนบทไม่มีส้วมใช้กันเลย อย่างดีที่สุดคือเว็จ คือใช้ขุดหลุมให้ลึกหน่อยเอาไม้พาดปากหลุม
นั่งถ่าย บ้านทั่วๆ ไป ถ่ายอุจจาระกันตามพื้นดินในที่รกๆ เมื่อน้ำหลาก ล้นมาก็พัดพาอุจจาระทั้งหลายกวาดละลายไปตามน้ำ เชื้อโรคนานาชนิดก็เต็มไปในน้ำ ใครไปมุดดำน้ำเล่น น้ำสกปรกเข้าตา ทำให้ตาเจ็บ

 

              เมื่อถูกห้ามเล่นน้ำ ข้าพเจ้ากับเพื่อนก็ต้องหาเรื่องอื่นเล่น  สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือต่างคนต่างหาไม้อันยาวๆ ไม่หนักนัก ไปนั่งคอยอยู่ที่ริมตลิ่ง คอยตีฟองน้ำที่ลอยผ่านมา ฟองน้ำนั้นเกิดจากกระแสน้ำที่พัดอย่างแรงจากที่สูงมาที่ต่ำ ทำให้น้ำโป่งเป็นฟองเล็กฟองน้อยรวมตัวกัน  เป็นก้อน ใหญ่บ้างก้อนเล็กบ้าง และเนื่องจากน้ำมีดินปนอยู่มาก ผงดิน  เหล่านั้นทำให้รูปฟองน้ำคงตัวอยู่ได้นานกว่าปกติ จึงลอยไปได้เป็นวันๆ
กว่าจะแตกกระจายหายไป 

 

               ข้าพเจ้ากับเพื่อนชอบแย่งกันใช้เรียวไม้ไผ่ตี  ก้อนฟองน้ำให้แตกกระจาย ใครตีทีเดียวกระจายหมดถือว่ามีฝีมือ บางที  ถ้ากระแสน้ำไม่แรงนัก เราก็ถึงกับพายเรือเลาะอยู่ข้างตลิ่งคอยตีฟองน้ำบ้าง เก็บไม้ฟืนที่ลอยมาตามน้ำบ้างเป็นที่สนุกสนาน

 

               พอฟังพระท่านเปรียบเทียบว่า รูปขันธ์เหมือนฟองน้ำ ก็ให้รู้สึกจับใจ กินใจ เพราะรู้จักดี มันจะเป็นก้อนเล็กก็ตามใหญ่ก็ตาม มีรูปร่างแปลกแค่ไหนก็ตาม บางก้อนลอยมาใหญ่โตเท่าปี๊บตักน้ำ เท่าหม้อหุงข้าว มีรูปร่างเหมือนสัตว์ เหมือนบ้านเมืองจำลอง เหมือนภูเขา เหมือนเรือ แต่ถูกข้าพเจ้ากับเพื่อนๆใช้ไม้ตีทีเดียวก็กระจัดกระจายกลายเป็นแผ่นน้ำเรียบไปตามเดิม  มันไม่เป็นสาระแก่นสารอะไรเลยจริงๆ ฟองน้ำเป็นร้อยก้อนพันก้อนสู้แต่ไม้ฟืนที่ลอยน้ำมาเพียงดุ้นเดียวก็ไม่ได้ เอามาตากแดดให้แห้งยังหุงข้าวได้

 

               รูปขันธ์เปรียบเสมือนฟองน้ำ ร่างกายของเรามาจากธาตุดินน้ำ  ลมไฟ แต่ละวินาทีที่ผ่านไปมันก็เปลี่ยนแปรแตกดับไปทีละนิดละหน่อย  อยู่ทุกขณะสายตาของเราเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่ถ้า
เป็นการเห็นทางใจ จะสามารถเห็นได้ชัดเจนถี่ถ้วนว่าแต่ละเซลล์ในร่างกาย  พากันตายอยู่ทุกขณะ ที่เกิดใหม่ก็มีน้อยและด้อยคุณภาพกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา เราเรียกความเสื่อมสภาพเหล่านี้ว่าความชรา ท้ายที่สุดก็แตก
ทำลายตายกลายเป็นดินน้ำลมไฟไปตามเดิม

 

              ฟองน้ำเมื่อรวมตัวเป็นรูปร่างให้เห็นเป็นเหมือนเรือ ภูเขา บ้าน  ตัวคนตัวสัตว์ ชั่วครู่ก็สลายกลายเป็นสายน้ำไปตามเดิม รูปร่างเมื่อครู่  ก็เป็นของว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้เป็นสาระเหลืออยู่เลย

 

               รูปร่างกายของคนหรือสัตว์เดรัจฉาน หรือแม้สัตว์ในภูมิอื่น  ก็ไม่ต่างอะไรกับฟองน้ำ เพียงแต่ระยะเวลาที่จะคืนไปเป็นความว่างเปล่า  ตามเดิมนานกว่ากัน ความนานรวมกับความค่อยๆ เปลี่ยนแปลงในทาง
เสื่อม ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงปุ๊บปั๊บเหมือนเราเอาไม้ตีให้ฟองน้ำแตก  จึงทำให้เราหลงใหลยึดถือเอาเป็นจริงจัง เห็นเป็นของมีสาระแก่นสาร

 

                เอาเถอะ บางทีเรามองดูรูปร่างกายของเราทุกวันในกระจกเงา  เราเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่ถ้าเราจะถ่ายรูปไว้สักปีละครั้ง  แล้วนำภาพเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกันทุกปีไป ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมชัดเจน

 

              ข้าพเจ้าเคยได้ยินคำคมของคนโบราณพูดถึงความเสื่อมของรูปไว้เป็นปริศนาน่าคิดว่า รูปสามารถเปลี่ยนจากสูงแล้วต่ำ ดำแล้วขาว  ยาวแล้วสั้น หันแล้วนิ่ง จริงแล้วปลอม หอมแล้วเหม็น เย็นแล้วหนาว
ในทำนองนี้ ร่างกายที่สูงสง่า พอชราก็โค้งงอต่ำ ผมเคยดำแก่เข้าก็หงอกขาว  สายตาเคยมองเห็นไกลในระยะทางยาว ก็กลายเป็นตาสั้น  ต้องจ้องมองแทบติดหน้า หูเคยได้ยินชัดใครเรียกก็หันมาดู แก่เข้าหูตึง  ใครเรียกก็อยู่นิ่งไม่ได้ยิน แต่เดิมมีฟันจริงใช้ พอชราเข้าฟันก็หักต้องใช้ฟันปลอม ในวัยแข็งแรง  ดมน้ำหอมก็ชื่นใจชมว่าหอม แต่เมื่อแก่ลง  ประสาทจมูกเสื่อมสมรรถภาพ ได้กลิ่นสิ่งใดฉุนจัดก็ระคายเคืองต้องจาม  ต้องไอกลายเป็นของเหม็นไม่ชอบใจ ยามหนุ่มสาวอากาศเย็นแค่ไหน  ก็ทนได้ว่า สบายตัว แก่เฒ่าเข้าเย็นหน่อยก็รู้สึกหนาวจับใจ พาลเป็นไข้ไม่สบาย

 

               รูปขันธ์จึงเป็นของไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร นำแต่ความทุกข์ใจมาให้ ถ้าหากไปยึดถือว่ารูปนั้นคือเรา เราคือรูปอันนั้น หรือยึดว่ารูปนั้นเป็นของเรา

 

              พอถึงเวทนา ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และเฉยๆ ก็ล้วนแต่คอยเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนอยู่เสมอ วันนี้ฟังเพลงของนักร้องมีชื่อคนหนึ่ง รู้สึก สบายหู เสียงนุ่มนวลกังวานหวาน ฟังซ้ำบ่อยเข้าหน่อย  ก็เบื่อไม่ไพเราะเหมือนเดิมเสียแล้ว ต้องหาเพลงใหม่ของนักร้องใหม่มาฟัง


           เรื่องที่เกิดจากทวารอื่นๆ เช่น ทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำนองเดียวกัน  ไม่มีสุขทุกข์อันใดทนอยู่สภาพเดิมตลอดเวลา ต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ จึงจะพอทนได้ การต้องการเปลี่ยนอยู่เสมอนี่เอง ทำทุกข์กายทุกข์ใจให้เกิดขึ้น  เช่น มีเครื่องแต่งตัวชุดที่ชอบที่สุด เห็นว่าสวยมาก ให้ใส่ซ้ำทุกวันก็ใส่ไม่ได้ เบื่อหน่ายกลายเป็นทุกข์เสียแล้ว

 

           เมื่อเอาเวทนามาเปรียบกับต่อมน้ำ จึงช่างเป็นความเปรียบ  ที่เหมาะเจาะเสียจริง ท่านผู้อ่านรู้จักต่อมน้ำหรือเปล่า ถ้าท่านอยู่ในเมืองหลวงอย่างที่กรุงเทพฯ หรือที่เมืองใหญ่ๆ มีแต่ตึกรามโตๆ มีถนนคอนกรีตท่านอาจไม่รู้จักต่อมน้ำ

 

               แต่สำหรับข้าพเจ้า น่าประหลาดแท้ๆ เคยรู้จักอย่างดี และพิจารณาเห็นความไม่มีแก่นสารของมันได้ชัดเจนตั้งแต่จำความได้เพียงแต่ไม่รู้จักการเปรียบเทียบว่าเวทนาเหมือนต่อมน้ำเท่านั้น

 

             ในยามเด็กดังกล่าวแล้ว บ้านของข้าพเจ้าเป็นเรือนไทยสองหลังแฝด (ปัจจุบันปี ๒๕๓๓ ตั้งอยู่ที่ลานกัลปพฤกษ์ของวัดพระธรรมกาย)  แต่ครั้งนั้นยังมุงหลังคาด้วยใบจากไม่ใช่กระเบื้องดังในปัจจุบัน บ้านหลังคาทรงไทยมีรูปหลังคาเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่ว เอียงราวๆ ๔๕ องศา ดังนั้น  เวลาฝนตกสายฝนที่หล่นลงมาจากหลังคาจะไหลแรงมาก เมื่อตกจากหลังคาลงยังพื้นดินเบื้องล่าง ก็จะขังนองตลอดแนวชายคา

 


                 ทีนี้พอสายฝนลดกำลังแรงลง ตกเป็นหยดๆ หยดน้ำจากชายคา เมื่อตกลงไปกระทบน้ำฝนที่ขังอยู่ที่พื้นดิน ก็ทำให้ผิวน้ำที่พื้นดินเว้าลงไปชั่วครู่หนึ่งเป็นต่อมน้ำ แล้วก็รวมตัวกันเข้าใหม่ ต่อมน้ำก็หายไป
เมื่อหยุดน้ำตกลงมาอีก ก็เกิดต่อมน้ำชั่วแวบเดียวขึ้นมาอีก เป็นอยู่ดังนี้  จนกว่าฝนจะขาดเม็ด ขณะที่บางแห่งเป็นต่อมน้ำลึกลงไปในผิวน้ำ  บางแห่งกลับเป็นฟองใสเป็นรูปครึ่งวงกลมลอยขึ้นมา แล้วก็แตกวับหาย
ไปกับตา กลายเป็นผิวน้ำไปตามเดิม


               ข้าพเจ้าในวัยเด็กครั้งกระโน้นชอบไปนั่งริมชายคาที่ใต้ถุนบ้าน  เวลาฝนตก นั่งเงียบๆ จ้องดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อมน้ำนั้นบางต่อม  ก็โตบางต่อมก็เล็ก ที่โตก็หายช้านิดหนึ่ง ที่มีขนาดเล็กหายรวดเร็วมาก  ตามสังเกตมองแทบไม่ทัน  ส่วนฟองน้ำก็ใสสะอาด สวยงามจริงๆ บางอันก็เป็นฟองใหญ่ขนาดไข่ไก่ บางอันก็เล็กขนาดตัวแมลงวัน บางทีก่อนที่มันจะแตกวับหายไป มันกลับลอยไปติดกันเป็นแพเป็นรูปร่างประหลาด  ฟองน้ำเกิดจากสายฝนที่ชายคาหายไปเร็วกว่า  ก้อนฟองน้ำที่ไหลมาในแม่น้ำยามฤดูน้ำหลาก แต่อย่างไรก็ตาม ฟองน้ำในแม่น้ำถ้ามีฝนตก  เพียงครู่เดียว เม็ดฝนก็จะทำให้ฟองน้ำหายไปโดยเร็ว


               ข้าพเจ้าชอบนั่งมองทั้งฟองน้ำและต่อมน้ำว่ามันเกิดขึ้น  ทรงรูปร่างอยู่ชั่วครู่เดียว แล้วก็แตก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็แตกมีลักษณะซ้ำๆ ซากๆ อยู่ดังนี้ มันเหมือนอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เวลานั้นนึกไม่ออกได้แต่นั่งมองเพลินทุกครั้งที่ฝนตกแล้ววิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้าน  จนบางครั้งถูกมารดาดุเอา

"หนู นั่นไปทำอะไรอยู่ที่ชายคาน่ะลูก" แม่ถามข้าพเจ้า

"หนูดูน้ำฝนที่มันตกจากชายคาจ้ะแม่ มันเป็นต่อมเป็นฟองสวยดี แต่เสียดายมันเป็นรูป สวยๆ อยู่แป๊บเดียว แล้วก็หายไป" ข้าพเจ้าตอบมารดา เสียดายที่มารดาไม่มีความรู้ทางธรรมะจะสอนข้าพเจ้า  ท่านจึงบ่นของท่านไปเสียอีกอย่าง


"ไม่เอาลูก ไม่ไปนั่งดู เดี๋ยวถูกละอองฝน จะเป็นหวัด"


                นี่ถ้าข้าพเจ้าได้รับคำสอนเหมือนที่กำลังทราบอยู่ขณะนี้คงจะได้ปัญญาทางธรรมมาตั้งแต่เด็กว่า ต่อมน้ำ ฟองน้ำที่เห็นนั้นเหมือนความสุข  ความทุกข์ที่เราเป็นกันอยู่ มันเปลี่ยนแปรไม่เที่ยงแท้อยู่ตลอดเวลา
และโดยความจริง ที่เราเรียกว่าความสุขนั้น แท้ที่จริงก็คือความทุกข์ที่ลดลงเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่เป็นสุขจริงๆสักหน่อยเดียว เหมือนต่อมน้ำ  ฟองน้ำที่เป็นรูปร่างเกิดขึ้นชั่วครู่ แล้วก็สลายกลายไปหมดลง


              ด้วยเหตุที่เคยนั่งสังเกตความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของธรรมชาติต่างๆ เหล่านี้มาในวัยเด็ก พอเวลาบัดนี้เพียงได้ยินได้ฟัง  คำอุปมา เท่านั้นภาพสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบก็ผุดกระจ่างขึ้นมาในความทรงจำทันที จึงเข้าใจซาบซึ้ง พลอยให้นึกต่อเนื่องสืบไปว่า ข้าพเจ้าอาจเคยได้ยินได้ฟังคำอุปมาเหล่านี้มาตั้งแต่ชาติปางก่อน จึงได้สนใจสังเกต  สิ่งที่เด็กทั่วไปไม่สนใจสังเกตพบแล้วก็ให้รู้สึกว่า เหมือนอะไรสักอย่างแต่ก็นึกไม่ออก

 

                ส่วนการเปรียบเทียบในเรื่องที่ ๓ เรื่องสัญญา คือความจำ  เปรียบเหมือนพยับแดด เรื่องพยับแดดนี่คนในเมืองก็ยากที่จะรู้จัก  แต่ชีวิตของข้าพเจ้าได้วิ่งไล่พยับแดดจนเหนื่อยมาแล้ว จึงได้รู้จักความลวงตาของมันเป็นอย่างดี

 

                  ครั้งเมื่อพ่อของข้าพเจ้าเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่ง โรงเรียนนั้นอยู่ไกลจากบ้านราว ๓ กิโลเมตรเศษๆ ข้าพเจ้าเดินทางไปโรงเรียนพร้อมพ่อ จากบ้านเดินตัดทุ่งนาออกมาเป็นระยะทาง
ประมาณ ๑ กิโลเมตร จากนั้นเดินตามทางรถไฟไปจนกระทั่งถึงโรงเรียน  เข้าเรียน ๓ โมงเช้า เลิกเรียนบ่าย ๓ โมง ขณะที่เดินกลับบ้านอยู่บนทางรถไฟนั่นเอง ข้าพเจ้ามองเห็นของสิ่งหนึ่งบนทางรถไฟข้างหน้า  ห่างจากที่ข้าพเจ้าและพ่อเดินอยู่ประมาณ ๑๐ กว่าเมตร จึงพูดกับพ่อว่า


"พ่อจ๋า โน่นดูซิ บนทางรถไฟมีน้ำไหลท่วมอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อตรงข้างทางไม่มีน้ำอยู่เลย น้ำมันขึ้นไปไหลผ่านรางรถเยอะแยะ หนูจะรีบวิ่งไปกินน้ำนะพ่อ" พูดแล้วข้าพเจ้าก็ออกวิ่งตื๋อไปข้างหน้า เสียงพ่อตะโกนเรียกอยู่ข้างหลังว่า

 

"อย่าวิ่งเลยลูก เหนื่อยเปล่าๆ มันเป็นภาพลวงตา ไม่ใช่น้ำจริงๆ หรอก"

 

ข้าพเจ้ามิได้หยุดวิ่งตามที่พ่อเรียก กลับนึกเถียงในใจว่า ก็มองเห็นอยู่ชัดๆ ว่า มีน้ำไหลบ่าท่วมทางรถไฟเต็มไปเป็นระยะทางยาว  พ่อว่าเป็นภาพลวงตาได้อย่างไร ต้องวิ่งไปดูให้เห็นว่ามันเป็นอะไรกันแน่


คิดแล้วก็วิ่งไปโดยเร็ว เมื่อกะคะเนว่าเป็นระยะทางเท่าที่มองเห็น  พอไปถึงกลับไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ทางรถไฟเป็นปกติ มองไปข้างหน้า  ภาพน้ำท่วมเลื่อนหนีห่างไปอยู่ที่โน่น วิ่งตามไปถึงก็ไม่มีอะไร ภาพหนีไป
อย่างเดิม ข้าพเจ้าวิ่งตามไปพักใหญ่ จนแน่ใจว่าตามไม่ทัน จึงหยุดคอยพ่อ มองหน้าแสดงว่ายอมแพ้ เป็นภาพน้ำท่วมลวงตาจริงๆ เสียงพ่ออธิบายให้ฟังว่า

 

"เขาเรียกว่าพยับแดดน่ะลูก เวลาแดดร้อนจัดๆ อากาศมันร้อน  มันขยายตัว ทำให้เป็นภาพลวงตา อย่างที่ลูกเห็นนั่นแหละ"

 

ข้าพเจ้ามองดูพยับแดดอีกครั้ง ถอนหายใจ พร้อมกับนึกว่าของอะไรไม่รู้ ไม่เห็นมีจริงๆ เลย มาหลอกให้ตาของเราเห็นผิดๆ ไปได้

 

พยับแดดที่เห็นลวงตา มันช่างไร้แก่นสาร ไม่เป็นของคงที่จริงจังสักนิดเดียว น่าตลกที่มองเห็นเป็นตัวตน ครั้นเข้าไปใกล้กลับไม่มีอะไรเลย

 

                 สัญญาคือความจำของคนเรามันไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ใครยึดถือในสัญญาก็เหมือนยึดถือในสิ่งลวงตา  เหมือนยึดถือเอาพยับแดดหรือเกลียวคลื่นในท้องน้ำ ซึ่งที่แท้เป็นเพียง
ของที่เกิดขึ้นมาชั่วคราวแล้วก็หายไป


                 ทีนี้พอพูดถึงสังขารขันธ์ ซึ่งเปรียบไว้ว่าเหมือนต้นกล้วย  เข้าใจว่าหลายคนคงรู้จักต้นกล้วย เพราะเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายและปลูกกัน  อยู่ทั่วไป แต่ก็ไม่แน่นักสำหรับชีวิตเด็กในสมัยปัจจุบันตามเมืองใหญ่ๆ  เกิดมาก็ต้องแกร่วอาศัยกันอยู่ในคอนโดมิเนียมหลายๆ ชั้น อาจจะรู้จักก็เพียงผลกล้วยก็ได้ แต่ต้นกล้วยไม่แน่นักว่าจะรู้จัก


                  สำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้จักดีเหมือนกับเพื่อนๆ ทุกคนในวัยเด็ก  เพราะเคยคัดเลือกหน่อกล้วย ขุดด้วยเสียม ใช้มีดตกแต่งให้ดี แล้วนำมาปลูกลงในหลุมที่เตรียมดินไว้ดีแล้ว รดน้ำพรวนดิน ดูแลจนต้นกล้วย
เติบใหญ่ ออกปลีออกลูก ตัดปลีเอามาจิ้มน้ำพริก จิ้มปลาหลน เลี้ยงต้นแม่ไว้ให้สมบูรณ์ รอจนลูกแก่ เหลี่ยมตามลูกหายไป หรือมิฉะนั้นก็รอให้สุกคาเครือ แล้วจึงตัดเอาลงมาบ่ม เคยปลูกกล้วยเป็นดงๆ ดังนี้  ฟังคำเปรียบเทียบ จึงรู้สึกกินใจ เข้าใจถี่ถ้วนลึกซึ้ง เคยถามพ่อว่า


"พ่อจ๋า ทำไมเวลาเราตัดลูกกล้วยออกจากต้นแล้ว พ่อต้องให้หนูฟันต้นของมันทิ้ง หรือไม่ก็ไปตามคนเลี้ยงหมูมาตัดเอาไปหั่นคลุกกับรำเลี้ยงหมู ทำไมพ่อไม่ทิ้งไว้ให้มันออกลูกใหม่อีกเล่าจ๊ะ ทีต้นไม้อื่นอย่าง ต้นมะม่วง ขนุน ชมพู่ เรายังไม่ตัดมันทิ้งเลย ทิ้งไว้ไม่นานมันก็ออกลูกให้เรากินอีก"


พ่อตอบข้าพเจ้าว่า "ต้นกล้วยมันเป็นไม้ไม่มีแก่น มันออกลูกหนเดียว แล้วมันจะไม่ออกอีก เราทิ้งไว้ มันก็ตายอย่างเดียวแหละลูก  ธรรมชาติของมันเป็นยังงั้นจ้ะ"


               คำว่า ไม้ไม่มีแก่น ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยลำต้นของต้นกล้วยเป็นกำลัง วันหนึ่งพ่อใช้ให้ตัดกล้วยต้นเตี้ยๆ ที่มีลูกแก่แล้ว ข้าพเจ้าจึงโค่นต้นมันลง แล้วใช้มีดโต้ชำแหละออกทีละชั้นเรื่อยไป ดึงออกทีละกาบๆ เป็นเนื้อนิ่มๆ แถมมีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้น้ำขังอยู่เต็ม จนถึงแก่นข้างใน  ซึ่งดูเป็นแท่งยาวมีเนื้อแน่นขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เนื้อไม้แข็งเหมือนต้นไม้อย่างอื่นๆ แกะออกทั้งต้นล้วนแต่ใช้อะไรไม่ได้ อย่างมากถ้าไม่ให้คน
เลี้ยงหมูเอาไปเป็นอาหารหมูแล้ว ก็เอามีดผ่ากาบกล้วยทางยาวออกเป็นเส้นๆ ตากแดดไว้ พอแห้งเก็บไว้ทำเชือกมัดสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ได้  แต่ก็ไม่เหนียวนัก สมัยก่อนยังไม่มีเชือกที่ทำด้วยไนล่อนใช้ เราก็ใช้เชือก
กล้วยบ้าง เชือกที่ทำมาจากเปลือกของต้นปอบ้าง เอาไว้ผูกห่อของ


              สำหรับข้าพเจ้า ต้นกล้วยมีประโยชน์ก็ตรงที่ตัดมันออกเป็นท่อนๆ เอาไปเป็นทุ่นลอยสำหรับเกาะเวลาว่ายน้ำเล่นกับเพื่อนๆ ใช้เท่านั้นแล้วก็ต้องปล่อยลอยทิ้งตามน้ำไป เพราะเล่นได้เพียงวัน  สองวันมันก็จะเน่าเหม็นสู้ต้นนุ่นแห้งๆ ไม่ได้ ใช้เล่นได้เป็นเดือน


              ต้นกล้วยในดงมีลำต้นโตบ้าง  เล็กบ้างหลายขนาด บางต้นที่สมบูรณ์ดีโตกว่าลำตัวคนด้วยซ้ำ ดูแล้วเหมือนมันแข็งแรงกว่าต้นไม้เล็กอื่นๆ แต่เมื่อตัดออกมากลับเป็นต้นไม้ที่มีแต่น้ำ ทิ้งไว้ก็เน่าแล้วก็กลาย
เป็นเหมือนใบไม้แห้งผุกรอบ ใช้ทำฟืนเหมือนไม้อื่นๆ ไม่ได้


              ความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจ เป็นธรรมชาติที่มาเกิดรวมๆ กัน  เหมือนกาบกล้วยที่รวมกันอยู่แน่นจนเป็นต้นกล้วย ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ซึ่งภาษาทางธรรมเรียกว่า เจตสิก เหล่านี้ ก็มีสภาพเหมือนกาบกล้วย


              ธรรมชาติชนิดหนึ่งก็เหมือนกาบกล้วยกาบหนึ่ง มารวมกันอยู่หลายๆ กาบ  ก็เป็นต้นกล้วยขึ้นมา ต้นกล้วยใช้ทำประโยชน์อะไรไม่ได้มาก ก็เหมือนสังขารธรรมทั้งหลายที่มาประชุมกันปรุงแต่งจิต ไม่ได้เป็นแก่นสารสาระประโยชน์อะไร ต้นกล้วยจะใช้ทำพื้นบ้าน ฝาเรือน กลอนประตู  แม้กระทั่งทำฟืน ก็ทำไม่ได้ฉันใดสังขารขันธ์ก็ไม่สามารถทำจิตให้มีสาระอะไรขึ้นมา เป็นเพียงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิตย์ ทำให้
ทุกข์เกิด และไม่น่ายึดถือว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเราแต่ประการใด


              ขันธ์ที่ ๕ เรียกชื่อวิญญาณขันธ์ เปรียบได้กับเล่ห์มายา หรือการเล่นกล ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และแสดงให้เห็นผิดไปจากความจริง

 

              ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าอายุราวสิบขวบเศษ เพื่อนของบิดาซึ่งเป็นคนมีอาชีพในการแสดงกลได้มาเยี่ยมครอบครัวของเรา ได้สอนวิธีเล่นกลให้ข้าพเจ้า ๒-๓ อย่าง มีเรื่องการต่อเชือกที่ตัดแล้วให้สนิทเหมือนเก่า การเรียกเหรียญ ( สตางค์) จากมือเปล่า การดึงผ้าผืนเดียวให้เป็นผ้าหลายผืนต่อๆ กัน


ลุงนักเล่นกลผู้นั้น ได้แสดงวิธีการเล่นให้ข้าพเจ้าดูอย่างช้าๆ  ข้าพเจ้าจึงสามารถเห็นทุกขั้นตอน จนข้าพเจ้าต้องร้องท้วงว่า

"ลุงคะ นี่มันเล่นโกหกกันนี่ค่ะ เราทำอย่างหนึ่ง แต่ให้คนดูมองอีกอย่างหนึ่ง อย่างเรื่องต่อเชือกเนี่ย เราตัดตรงปลายมันออก แต่หลอกตาคนดู ให้เขาเห็นว่าตัดตรงกลาง เรียกเหรียญก็แกล้งให้คนดูสนใจที่มือ แต่เรากลับแอบหนีบไว้ที่แขนบ้าง ที่อุ้งมือบ้าง แล้วแกล้งปล่อยออกมาเวลาคนดูมองไม่ทัน เรื่องดึงผ้าก็ให้ดูผืนหนึ่ง แต่ดึงจริงๆ เป็นอีกผืนต่างหาก โกหกทุกเรื่องเลยค่ะ"

"เล่นกล ก็คือ เล่นโกหกน่ะแหละหลาน แต่เป็นการโกหกที่ทำด้วยความว่องไวรวดเร็วมาก จนสายตาของคนดูตามเห็นไม่ทัน เราทำอย่างหนึ่ง แต่หลอกให้คนดูดูอีกอย่าง เขาจึงเรียกการแสดงอย่างนี้  ว่าการเล่นมายากล อาศัยความไวจนสายตาคนดูมองไม่ทันไงล่ะ"


                 วิญญาณ คือจิต ก็ว่องไวหลอกล่อไม่ผิดกับมายากล บางทีไวยิ่งกว่า กลับกลอกไปมา คิดเรื่องนี้อยู่ไม่พอ ประเดี๋ยวไปคิดต่อเรื่องอื่นเสียแล้ว ปรากฏแก่ใจเราว่าเหมือนเป็นจิตดวงเดียว แต่ความจริงแล้ว เป็นคนละขณะกัน คิดเรื่องเมื่อครู่ก็เป็นจิตแบบหนึ่งสังขารธรรม  กลุ่มหนึ่งปรุงแต่งอยู่ คิดเดี๋ยวนี้ก็เป็นจิตที่มีสังขารธรรมอีกกลุ่มปรุงที่จะคิดต่อข้างหน้าก็ทำนองเดียวกัน แต่ความรวดเร็วในการคิด ความต่อเนื่องของขณะจิตที่คิดหลอกล่อให้เรารู้สึกเหมือนเป็นจิตเดียวกันตลอดเวลา ยิ่งกว่าเล่ห์เหลี่ยมของนักมายากลทั้งหลายในโลกนี้ทีเดียว


               ขันธ์ทั้ง ๕ ที่ได้กล่าวโดยเปรียบเทียบมายืดยาวเหล่านี้ มันเป็นอยู่ของมันโดยธรรมชาติ เป็นของไม่มีเจ้าของ ไร้สาระว่างเปล่าและไม่อยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดๆ คือไม่มีผู้ใดสร้างขึ้น เป็นไปตามกรรม เป็นไป
ตามเหตุและปัจจัยที่ปรุงแต่ง  ของว่างเปล่า ของไม่คงที่แน่นอนต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิตย์  เป็นทุกข์ ทนอยู่ สภาพเดิมไม่ได้ และพ้นวิสัยที่จะไปบังคับให้อยู่ในอำนาจอย่างนี้ ใครเข้าไปยึดถือว่าเป็นตนหรือเป็นของตน ผู้นั้นย่อมประสบแต่ทุกข์ตลอดกาลนาน


              การยึดถืออย่างเหนียวแน่น เรียกว่าอุปาทาน อุปาทานในขันธ์ ๕ นี่แหละคือทุกข์โดยแท้ การไม่ยึดถือ แต่บริหารขันธ์เหล่านี้ตามความเป็นจริง ตามเหตุตามผลอันสมควรกับสภาพ ย่อมทำให้สังขารธรรมส่วนที่เป็นปัญญาเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุดและเลิกยึดถือได้โดยสิ้นเชิง


             สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขาติ กล่าวโดยย่อ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์


ในรูปขันธ์มีอายตนะ คือเครื่องมือรับรู้ทางทวารทั้ง ๖ ตา หู จมูก  ลิ้น กาย และใจ อายตนะเหล่านี้เมื่อกระทบกับสี เสียง กลิ่น รส  ความเย็นร้อนอ่อนแข็งเข้า ทำให้เกิดเวทนา


เวทนานั่นเอง เป็นเหตุให้เกิดความชอบใจไม่ชอบใจ ได้สุขเวทนา ก็ชอบใจ ได้ทุกขเวทนาก็ไม่ชอบใจ


ความชอบใจไม่ชอบใจ เป็นเหตุให้เกิดตัณหา อยากได้ในสิ่งถูกใจ  อยากพ้นในสิ่งไม่ถูกใจ

ตัณหา คือความอยากนี่เองเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน

อุปาทาน เป็นเหตุให้เกิดภพ  ความมีความเป็นตามสภาวะที่ตนยึดถือ

ภพ เป็นเหตุให้เกิดชาติ

ชาติ นั่นแหละ ทำให้เกิด ชรา พยาธิ มรณะ อะไรต่อมิอะไร  ที่เป็นความทุกข์ติดตามมาเป็นขบวนการ

 

ถ้ารู้ทันว่าขันธ์เป็นของว่างเปล่า ไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่ควรยึดถือ ก็เหมือนตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดความทุกข์ออกทิ้งทั้งขบวน


                ข้าพเจ้าอาจจะคุยกับท่านผู้อ่านยากไปบ้าง แต่ทดลองคิดดูตามตัวอย่างนี้สักเล็กน้อย สมมติว่าเรานั่งรถไปตามถนน คนที่นั่งรถไปคันเดียวกับเราถ่มเสมหะทางเหนือลม ลมพัดมาถูกใบหน้าเราเต็มหน้า  ถ้าเรายึดว่าตัวตนนี้เป็นเรา ใบหน้าที่ถูกสิ่ง สกปรกนี่เป็นใบหน้าเรา  เราย่อมทุกข์หนักและพาลโกรธคนที่ถ่มเสมหะ อาจถึงมีเรื่องมีราวต่อว่าต่อขานกันขึ้นมา


                ตัวอย่างนี้ข้าพเจ้าพบมาด้วยตนเอง ครั้งหนึ่งเคยขึ้นรถเมล์ประจำทาง ถูกกระเป๋ารถทำอาการอย่างนี้ บังเอิญข้าพเจ้าได้เรียนรู้ธรรมะเรื่องความยึดถือในขันธ์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ขนาดเป็นเพียงรู้ขั้น  สุตมยปัญญา คือปัญญาเกิดขึ้นจากการศึกษาเล่าเรียน (การฟัง) ก็ยังหักห้ามจิตใจไว้อยู่


"ตัวเราก็เป็นเพียงธาตุดิน เสลดน้ำลายของคนอื่นก็เป็นเพียงธาตุน้ำ แล้วคนถ่มก็ตั้งใจถ่มทิ้งลงดินไปโน่น แต่ธาตุลมกลับพัดมาโดนเรา  ก็เราก็แค่ธาตุดิน อย่าไปคิดอะไรมาก ลองดูหน้าคนถ่มซี ซีดเซียวตกใจ  พูดไม่ออก สงสารเขาเถอะ อย่าไปตำหนิอะไรเลย แค่ใครๆ รุมกันมองหน้าเขาอย่างตำหนิเขาก็อายและเสียใจแย่แล้ว"


                 คิดแล้ว ข้าพเจ้าก็ค่อยๆ เอากระดาษทิชชู่เช็ดสิ่งสกปรกนั่นทิ้งไป แล้วก็ทำอากัปกิริยาเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกข์ก็ไม่เกิดแก่ข้าพเจ้า หรือแก่ใครๆ  หรือว่า ถ้าขณะเดินทางเราพบรถชนคนตาย ถ้าเรายึดถือว่า  คนตายเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ เราก็คงสลดใจธรรมดาๆ แต่ถ้ามองไปที่ศพ  เห็นว่าสวมเสื้อผ้าเหมือนลูกหลาน บิดามารดาของเรา ใจเกิดยึดว่าศพ  นั้นคือญาติของเรา ทุกข์ก็เกิดขึ้นมาหนักจนใจรับไม่ได้ บางคนถึงกับเป็นลมหมดสติไปในทันที


ตัวอย่างง่ายๆ ดังนี้ ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจ  ยึดอะไรว่าเป็นตัวเราก็ตาม ยึดอะไรว่าเป็นของเราก็ตาม
เป็นทุกข์ทั้งสิ้น

                 อ่านข้อความเรื่องการมีอุปาทานในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ที่ข้าพเจ้า  เขียนไว้นี้จบลงแล้ว บางท่านอาจจะโต้แย้งว่า โธ่เอ๋ย ให้เลิกยึดว่านี่คือ ตัวเรา นี่คือของเรา เลิกได้ยังไงกัน ถ้าเลิกยึดเสียแล้ว ชีวิตวันหนึ่งๆ
จะอยู่ไป มีความหมายอะไรเล่า งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรๆ ให้ใครอีกแล้ว  ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ไม่ต้องเลี้ยงครอบครัว บุตร ภรรยาสามี  ไม่ต้องทำความดีความชั่วอะไรทั้งหมด เพราะไม่มีอะไรจะให้ยึดถือ  ร่างกายและจิตใจเป็นเพียงความหมุนเวียนของ สภาวะทางธรรมชาติ เท่านั้นเอง


                การแย้งด้วยคำพูดเพียงแค่นี้ เป็นเพียงปัญญาระดับตื้นๆ  แค่คิดเอา แต่จะทำจริงไม่ได้ คือเลิกยึดถือจริงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น บอกว่า


"ไม่ยึด" แต่ถ้ามีใครเอาไม้มาตีที่ร่างกายตนเองแรงๆ ก็อดเจ็บไม่ได้  นอกจากเจ็บแล้ว อาจมีการโกรธเคืองตามมา มีการตอบโต้ให้เป็นกายทุจริต วจีทุจริตขึ้น


การไม่ยึดถือ ต้องเป็นปัญญาระดับภาวนามยปัญญา แยกหรือ ถอดรูป เวทนา  สัญญา  สังขาร วิญญาณ ออกได้ทีละกายๆ ตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม ไปจนถึงกายธรรม การทำดังนี้ ไม่สำเร็จได้ด้วยการบอกเล่า  แต่ทำได้ด้วยการปฏิบัติเจริญกรรมฐานภาวนา


ทีนี้สำหรับคนโดยทั่วๆ ไปซึ่งส่วนใหญ่ยังปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล  ยังไม่สามารถถอดขันธ์ ๕ ทิ้งไปให้มีแต่ธรรมขันธ์เข้ามาแทน ก็จำต้องหาอุบายในการคิดเป็นหลักยึดประจำใจของตนๆ ก็พอทำให้ลดความทุกข์  ลงไปได้ไม่น้อย


                 ครั้งเมื่อข้าพเจ้าเริ่มสนใจศึกษาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา  ด้วยการอ่านเอาความรู้ ยังมิได้ลงมือปฏิบัติเจริญภาวนาอย่างจริงจัง   ข้าพเจ้าชอบคำสอนของพระเถระรูปหนึ่ง ท่านสอนว่า การปฏิบัติธรรมคือ  การทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำโดยไม่หวังผลว่าตนเองจะได้รับสิ่งตอบแทนใดๆ  ทำเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งควรทำเท่านั้น ทำแล้วก็แล้วกัน


                เวลานั้นข้าพเจ้าทำตามคำสอนที่กล่าวถึงโดยเคร่งครัด หน้าที่ควรทำต่อใคร ทำให้ดีที่สุด หน้าที่ต่อพ่อแม่ ต่อครูอาจารย์ ต่อเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ต่อครอบครัวมีสามีและลูกๆ  ต่อบริวารญาติมิตร และเหล่าเพื่อนบ้าน ฯลฯ


                ขณะทำหน้าที่ ยามใดที่ตั้งใจทำให้สมบูรณ์ ยามนั้นก็มักเหนื่อย  กายเหนื่อยใจมิใช่น้อย แต่สิ่งที่ได้รับคือความสบายใจที่ตนเองติเตียนตนเองไม่ได้ และเกิดการคลายความยึดมั่นถือมั่น  ในความมีความเป็น
ต่างๆ เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีการเป็นหมดทุกเรื่อง มีสิ่งไรก็ทุกข์  ด้วยการดูแลรักษา และความพลัดพราก เป็นอะไรก็ต้องทุกข์ด้วยการรับผิดชอบผู้คนและสิ่งที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง


               เมื่อเห็นทุกข์มากเข้า จิตใจก็เบื่อหน่าย คลายจากความอยากมีโน่น อยากมีนี่ และด้วยการที่ทำหน้าที่โดยไม่คิดถึงสิ่งตอบแทนที่ควรได้บางครั้งเมื่อได้ประสบ   การรู้คุณการตอบแทนคุณจากผู้ที่เคยได้รับ
ประโยชน์ก็กลายเป็นผลพลอยได้ที่นึกไม่ถึง เลยเหมือนเป็นดังโชคดีโดยบังเอิญ


                สมัยเมื่อข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาออกทำงานรับราชการมีรายได้  ค่อนข้างดีในสมัยเมื่อสามสิบปีก่อนโน้น ข้าพเจ้าส่งเสียน้องๆ เล่าเรียนโดยไม่รบกวนเงินทองของบิดามารดา โดยเฉพาะน้องสาวคนเล็กซึ่งมีอายุห่างจากข้าพเจ้าถึง ๑๗ ปี ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็กเหมือนเป็นลูกคนโต  เวลานี้เขาเล่าเรียนจบระดับปริญญา มีการงานทำเป็นหลักฐาน มีครอบครัวอบอุ่น ฐานะมั่นคง น้องส่งเงินเลี้ยงดูข้าพเจ้าเป็นรายเดือนทุกเดือน  เมื่อข้าพเจ้าท้วงว่า


"ความจริงพี่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีเงินบำนาญจากทางราชการบ้าง มีบ้านให้คนเช่าบ้าง ลูกๆ ก็ทำงานหมดทุกคนแล้ว พี่ก็พออยู่พอกิน ที่เหลือก็ได้อาศัยทำบุญเป็นเสบียงติดตัวไปชาติหน้า  ส่วนหนูกำลังตั้งครอบครัว ลูกๆ กำลังกินกำลังใช้ ต้องเตรียมเก็บเงินไว้เป็นทุนให้พวกเขาเรียน หนูไม่ต้องให้พี่ก็ได้จ้ะ"

 

น้องสาวกลับแย้งข้าพเจ้าว่า

"หนูไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว เหลืออยู่แต่พี่ พี่ก็เคยเลี้ยงดูหนูมาแต่เล็กแทนพ่อแทนแม่ หนูให้เงินพี่ใช้ หนูก็ถือว่าหนูได้ทำบุญ พี่ไม่รู้อะไร  ตั้งแต่หนูให้เงินพี่ หนูจะหยิบจะจับงานสิ่งใด ก็ได้เป็นเงินเป็นทองไปหมด
ครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา หนูเชื่อว่าบุญกุศลจากการที่หนู  ทำบุญกับพี่นี่แหละคุ้มครองชีวิตครอบครัวหนู พี่อย่าปฏิเสธนะคะ  ให้โอกาสหนูทำบุญตลอดไปเถอะ คนอื่นๆ เขาทำบุญกับพี่ พี่ยังรับเงิน
ของเขา หนูเป็นน้องแท้ๆ พี่ก็ต้องรับให้หนูได้บุญด้วย"


                ความจริงอานุภาพของการทำกุศลกรรม ไม่น่าสงสัยเลยข้าพเจ้าทำบุญกุศลอยู่ทุกวัน ได้อาศัยเงินของตนเอง รวมกับของน้อง  และของเพื่อนสหธรรมิกบางท่านที่บริจาคไว้ มีตักบาตรทุกวันประมาณ  ๙-๑๑ รูป จนหมดพระภิกษุสามเณรที่เดินผ่านหน้าบ้าน ถวายภัตตาหาร  ทุกสัปดาห์และทุกเดือน ต่อพระภิกษุสงฆ์ที่วัดพระธรรมกายทั้งวัด ถือศีล  เจริญภาวนา ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน ถวายค่าพยาบาลพระอาพาธ ถวายเงินร่วมสร้างศูนย์กลางพระธรรมกายแห่งโลก ให้ธรรมเป็นทาน ฟังและศึกษาธรรม ขวนขวายช่วยเหลือกิจการของพระศาสนา เช่น ช่วยเผยแผ่ด้วยการพูด ด้วยการเขียน ฯลฯ


                บุญเหล่านี้ ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตให้คุ้มครองปกป้องผู้คนที่เป็น  เจ้าของเงินบริจาคทุกคน ตลอดจนผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งปวง ให้มีความสุขความเจริญถ่ายเดียว อธิษฐานจิตอยู่ทุกวัน เมตตาธรรมอันนี้  ย่อมมีพลานุภาพไม่น้อย ให้เป็นที่อัศจรรย์ใจดังที่กล่าวแล้ว


               อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อประมาณปี ๒๕๐๘ ข้าพเจ้ารับราชการเป็นหัวหน้าแผนกการศึกษาสงเคราะห์อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือคนพิการ ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อน และพิการทางร่างกาย เวลานั้นมีคนพิการตาบอด หูหนวกสามารถเรียนจบชั้นสูงระดับอนุปริญญา และระดับปริญญา แต่ไม่สามารถสมัครเข้าทำงานของราชการได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับลูกจ้าง หรือรับราชการ

 

               ข้าพเจ้าได้เข้าชี้แจงต่อข้าราชการผู้ใหญ่ ให้เพิ่มเติมระเบียบ  แก้ไขเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ทั้งที่ในที่ประชุมครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้มีอายุ  และตำแหน่งน้อยที่สุดในที่ประชุม ที่ประชุมเห็นด้วยและแก้ไขระเบียบ
บรรจุคนพิการที่มีความสามารถเป็นลูกจ้างประจำ และในที่สุดเป็นข้าราชการ


               ปลายปี ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบข้าราชการตาบอดในระดับซี ๖ ผู้หนึ่ง ได้กล่าวถึงบุญคุณที่ข้าพเจ้าได้กระทำให้พวกเขาสามารถรับราชการได้ เขาระลึกถึงอยู่เสมอส่วนข้าพเจ้ากลับลืมเสียสนิทสิ้นเชิง
เมื่อถูกฟื้นความหลังจึงจำได้ และก็รู้สึกชื่นใจ ทั้งที่ได้กระทำงานเรื่องนี้ไปโดยไม่หวังให้ใครรู้คุณแต่อย่างใด


             การทำสิ่งใด โดยยึดว่าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จะทำให้ค่อยคลายความยึดมั่นในตัวตน ในของๆ ตนไปทีละน้อยๆ เมื่อใดได้ลงมือปฏิบัติธรรม  ก็จะยิ่งแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งขึ้น   และสามารถค่อยเพิกถอนอุปาทานในขันธ์ ๕   ไปได้ในที่สุด


             เล่าประสบการณ์ของตนเองไว้เพื่อให้ท่านได้ใช้ประกอบการพิจารณา จะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์อันไม่เที่ยงแท้

 

 

Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม๔

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.023819231987 Mins