ในตัวเรามีองค์พระ
จริง พระอริยเจ้า |
ดีจริง |
อย่าง ยิ่งกว่าทุกสิ่ง |
แน่แท้ |
ตั้ง ต้นแต่หยุดนิ่ง |
ตรงศูนย์ กลางกาย |
ใจ หยุดสนิทแล้ |
จึ่งได้ของจริง |
ตะวันธรรม
ให้ทุกคนรวมใจมาหยุดนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้นนำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒นิ้วมือเรียกว่าศนูย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือ จำง่าย ๆ ว่าอยู่ในบริเวณกลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับที่หลับ ที่ตื่นของตัวเรา มาเกิด ไปเกิด หลับตรงนี้
ตื่นตรงนี้ อีกทั้งที่สำคัญคือเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในโลกในชีวิตของเรา การเกิดมาแต่ละครั้งถ้ายังไม่รู้จักตำแหน่งที่ตั้งของใจตรงนี้ ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิตไม่ได้
เพราะฉะนั้น ตำแหน่งที่ตั้งของใจตรงนี้จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องเอาใจใส่ จะต้องเอาใจมาตั้งไว้ตรงนี้ มาวางตรงนี้ มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ให้ได้
โดยให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นเครื่องหมายว่า ตรงนี้คือฐานที่ ๗ เอาใจมาอยู่ตรงนี้ อย่าไปอยู่ที่อื่น อยู่ที่อื่นไม่เกิดประโยชน์อันใด มีแต่จะนำความทุกข์เข้ามาเผาลนจิตใจของเรา
กำหนดบริกรรมนิมิตเป็นเพชรสักเม็ดหนึ่งที่ใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ขนาดไหนก็ได้ ให้ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรที่ปราศจากมลทิน ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ คือ ไม่จ้าตา ไม่แสบตา
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใส ๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบา ๆ ว่าสัมมา อะระหัง ให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา เหมือนมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มีประมาณ พร้อมกับตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ใน
กลางดวงใส ๆ ประคองใจอย่างนี้ไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เมื่อใจหยุดนิ่ง จะทิ้งคำภาวนาไปเอง คือหมดความจำเป็นแล้ว เหมือนเรือที่ส่งเราถึงฝั่งแล้ว เราก็เดินต่อไปโดยไม่ต้องแบกเรือไปด้วย เราจะมีอาการคล้าย ๆ ไม่อยากจะภาวนาต่อไป หรือคำภาวนานั้นเลือนไป ถ้าเกิดอาการอย่างนี้เราก็ไม่ต้องภาวนาต่อไป เพราะคำภาวนานั้นส่งเราถึงฝั่งแห่งการหยุดนิ่งแล้วในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็นิ่งอย่างเดียว ให้ใจหยุดในหยุด นิ่งในนิ่งลงไป อย่างสบาย ๆ
รสแห่งธรรม
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย พระผู้ปราบมาร ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์” คือ ทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะหยุดกับนิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
เมื่อ “สัมมา อะระหัง” ส่งถึงฝั่งแห่งการหยุดนิ่งแล้ว เราก็หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ สบาย ๆ ใจเย็น ๆนิ่งอย่างเดียว พอถูกส่วนคือได้จังหวะของมัน ก็จะตกศูนย์วูบลงไป เหมือนตกสุญญากาศอย่างนั้น
พอตกศูนย์ถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็จะมีดวงใส ๆ ปรากฏเกิดขึ้นมา แตกต่างจากดวงที่เรากำหนดเป็นบริกรรมนิมิต ที่เป็นแลนด์มาร์กของใจเรา จะเป็นดวงใส ๆ
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศอย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญอย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้นจะลอยขึ้นมา
ดวงใส ๆ นั้นจะมาพร้อมกับความสุขอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ที่ทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เกลี้ยงเกลาขึ้น ใจมันจะใส ๆ มาพร้อมกับดวงปัญญา คือการเข้าใจในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องและดีงาม เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตได้ มาทั้งความรักและปรารถนาดี
ต่อสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างแท้จริงโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด มาพร้อมกับความรู้สึกที่
ยิ่งใหญ่ เป็นตัวของเราเอง เป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการของชีวิต
ความรู้สึกอย่างนี้เราจะไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งมาพบดวงใส ๆ นี้ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราเกิดความพึงพอใจกับสิ่งนี้มาก เพราะว่าให้ความสมปรารถนาความสมหวังของชีวิต ที่เราปรารถนาความสุขนั้นได้อย่างเต็มอิ่มทีเดียว จนไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก
ความรู้สึกที่เป็นตัวของตัวเองนี้ เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่แม้อยู่ตามลำพังก็เป็นสุขได้ แม้ว่าจะไม่มีวัตถุอะไรต่าง ๆ ที่ชาวโลกเขาแสวงหากัน แค่เพียงดำรงชีวิตอยู่ได้ก็มีความสุขได้ด้วยตัวของตัวเอง เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มีความปีติภาคภูมิใจอิ่มอกอิ่มใจอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกทีเดียว
ดวงนี้แหละ พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านเรียกว่า ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นของใจเรา เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน แล้วก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะต้องไปถึงอายตนนิพพานอย่างแน่นอนเมื่อธรรมดวงนี้ปรากฏเกิดขึ้น
ในดวงธรรมมีตถาคต
เมื่อใดเห็นธรรมดวงนี้ ไม่ช้าก็จะเห็นพระตถาคต พระตถาคตคือพระธรรมกาย ซึ่งอยู่ภายในตัวของเราเอง และภายในตัวของมนุษย์ทุก ๆ คนในโลก แต่เขาไม่รู้ว่ามีอยู่
คำว่า “พระตถาคตเจ้า” จะใช้เมื่อพระบรมโพธิสัตว์หรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชและได้บรรลุธรรม ได้เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระธรรมกายในตัวนั่นแหละจึงจะใช้คำว่า พระตถาคตเจ้า
พระตถาคตเจ้านี้ก็มีอยู่ในตัวของเราและในตัวของทุกคนในโลก แต่ต้องเห็นธรรมดวงแรกนี้ก่อน ที่เรียกว่า “ปฐมมรรค” เป็นดวงธรรมใสบริสุทธิ์ที่บังเกิดขึ้นในกลางกาย เห็นธรรมเมื่อใดก็จะเห็นพระตถาคตเจ้า คือพระธรรมกายในไม่ช้า
เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมนี้ หยุดนิ่งไปตามลำดับอย่างเดียวก็จะเห็นไปเอง คือหยุดอย่างเดียว มีหน้าที่ดูอย่างเดียว เหมือนเรานั่งรถไป ดูทิวทัศน์ไป ดูอย่างเดียว ทิวทัศน์นั้นมีอยู่แล้ว ดูไปก็เรียนรู้ไป เข้าใจไป จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง นี่ก็เช่นเดียวกัน ให้ดูอย่างเดียว การดูอย่างเดียวก็คือการ
ทำใจให้หยุดนิ่งนั่นเอง เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งอย่างนี้ไปเรื่อย ๆจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
พระเทพญาณมหามุนี
วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 2
โดยคุณครูไม่ใหญ่