เฉยในทุกประสบการณ์
เมื่อดวงตาปิดสนิทอย่างละมุน |
ไม่มีลุ้นเร่งจ้องมองที่หมาย |
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย |
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง |
ยิ่งกว่าได้ดื่มสวรรค์อันเอมโอษฐ์ |
รสแห่งธรรมชนะโลดไม่ขนาง* |
รสอะไรไม่อาจสู้กลางของกลาง |
ลองเข้าถึงดูบ้างจะรู้เอง! |
ตะวันธรรม
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ ...พยายามฝึกไป แล้วก็ปรับใจไปด้วย ทำอย่างไรจึงรู้สึกพอดีแม้มืดก็มีความสบาย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็ให้รักษาอารมณ์นั้นเรื่อยไปเลย จนกระทั่งใจนิ่งได้นานขึ้น แต่มันก็ยังมืดอย่างเดิม นิ่งนานแต่ก็มืด แต่ว่านิ่ง นุ่ม แล้วก็นาน มันก็จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วก็เหมือนว่า เวลา ๑ ชั่วโมง แต่ก่อนเรานั่งไปรู้สึกทำไมยาวนานเหลือเกิน เมื่อไรจะถึงชั่วโมงสักที แต่ถ้าเราวางใจเป็น นิ่ง ๆนุ่ม ๆ นานขึ้น มีความรู้สึกว่าเวลาหมดไปเร็วแต่มันก็ยังมืดอยู่ อย่างนั้นก็ถือว่าก้าวหน้านะ ถือว่าดีขึ้นเยอะ ก็ให้ดีใจไว้เถอะว่า เราทำถูกหลักวิชชาแล้ว ทำต่อไปอีก นิ่ง...นุ่ม...นาน
หรือบางช่วงรู้สึกบางส่วนของร่างกายหายไป มือบ้าง เท้าบ้างขาบ้าง ศีรษะบ้าง แม้บางส่วนหายไปก็อย่าตกใจ นั่นแสดงว่าใจเราเริ่มรวมแล้ว ตรงไหนบริสุทธิ์ก่อนก็จะหายไปก่อน ก็ค่อย ๆ บริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ
บางคนมาฝึกใหม่ ไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์อย่างนี้ พอส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหายไป เกิดความกลัวเลยลืมตา ซึ่งน่าเสียดายแต่ก็ไม่เป็นไร ดังนั้นก็มีข้อแนะนำว่า ให้ทำเฉย ๆ อย่าลืมตา อย่าขยับตัว แล้วไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ปล่อยมันไป ทำเฉย ๆ แล้วก็นิ่งอยู่ที่เดิม มันก็ค่อย ๆ ขยายส่วนที่หายออกไปเพิ่มขึ้นจนกระทั่งหายหมดทั้งตัวเลย ตอนนี้ก็อย่าตกใจจนกระทั่งลืมตาและกลัวในการฝึก ขอยืนยันว่าไม่มีอันตรายอะไร จะมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นตามมาในภายหลังเมื่อตัวหายไป
บางคนรู้สึกตัวยืดก็มี หรือบางทีตัวย่อลงมาเหมือนจะติดพื้นก็ให้ทำเฉยๆ บางทีมันออกไปทางข้าง ๆ ไปทางกว้าง ๆ บางทีก็พอง ๆไปทั้งตัว เราก็ยังคงเฉย ๆ อยู่อย่างเดิม บางทีตัวโยกโคลงบ้างก็ทำ
เฉย ๆ นะ อย่าไปสนใจ แล้วก็อย่าไปเพลินกับ ความโคลงนั้น คืออย่าไปคล้อยตาม แต่ไม่ฝืน ให้ทำเฉย ๆ เดี๋ยวมันก็หายไปเอง ทำเป็นรู้แล้วไม่ชี้ เฉย ๆ บางคนใจเต้นตึ้กตั้ก นึกว่าเป็นโรคหัวใจ ไม่ใช่นะให้ทำเฉย ๆ บางทีขนลุกซู่ขึ้นมา นึกว่ามีวิญญาณอะไรมาทำให้เราขนลุก ก็ไม่ใช่อีกน่ะ เฉย ๆ ทำเป็นรู้แล้วไม่ชี้
บางทีตัวเบาเหมือนจะลอยไป พอตัวลอยนี่อาการอย่างนี้เราไม่เคยเจอ บางคนกลัว เอามือจับอาสนะซะแน่น เอามือควานหาพื้น หรือบางทีลืมตา อย่างนั้นก็ไม่ถูกหลักวิชชา บางทีตัวลอยจากพื้นขึ้นไปจริง ๆ ก็มี แต่ว่าเป็นบางท่าน ลอยขึ้นไป เขาเรียกว่า อุพเพงคาปีติ* ก็เฉย ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นิ่ง ๆบางทีนํ้าตาไหลก็แปลกใจ เอ๊ะ เราก็ไม่ได้กลุ้มใจนี่ ทำไมนํ้าตามันไหล นั่นคือนํ้าตาเย็นเกิดจากความปีติที่เราเอาชนะนิวรณ์ได้ในระดับหนึ่ง
อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นกับบางคนนะ ไม่ใช่ทุกคนเพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นอย่างนี้ หรือนอกเหนือจากนี้ให้ทำเฉย ๆ เพราะเรามุ่งไปที่หยุดกับนิ่ง
อาการเหล่านี้ก็คือเครื่องบ่งบอกว่า เราฝึกก้าวหน้าขึ้น เราเริ่มมีสมาธิอ่อน ๆ ขึ้นมาแล้ว เหมือนเริ่มเหยียบฌานของสมาธิ อยู่ขอบ ๆ กันแล้วล่ะ ทีนี้เราก็ยังนิ่งอย่างเดิมไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวความมืดนั้นก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้น บางคนเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ ใส ๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ ที่เราเคยเห็นบนท้องฟ้าในยามราตรี จะเห็นจุดสว่างก็ให้นิ่งอย่างเดียวนะ นิ่ง แล้วก็ทำเฉย ๆ อย่างเดิมนั่นแหละ หรือบางทีแสงมันแวบมาจากด้านซ้ายบ้าง ด้านขวาของดวงตาบ้าง ก็ไม่ต้องไปชำเลืองดู ทำเป็นรู้แล้วไม่ชี้ ทำเฉย ๆ
หรือบางทีเหมือนใครเอาไฟมาส่องหน้า หรือคล้าย ๆ ใครเปิดไฟไว้ในห้องทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มนั่งมันมืด อย่าไปลืมตานะ ทำเฉย ๆ หรือบางทีมันหล่นวูบลงไป อาจจะทำให้เราผวาบ้างก็ช่างมัน เฉย ๆ
อย่าเป็นคนช่างสงสัย ให้ทำเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีมันสมอง ไม่ต้องไปวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์
ประสบการณ์ว่าถึงขั้นนั้นขั้นนี้แล้วหรืออะไรต่าง ๆให้ทำตัวเหมือนนักเรียนอนุบาล แม้ตัวจะเป็นผู้ใหญ่
แต่ใจให้อินโนเซ้นท์เหมือนเด็ก เด็กซึ่งไม่มีความรู้อะไรมากมาย ทำเฉย ๆ ไป
ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว เป็นสัญญาณว่าเราก้าวหน้าในการทำสมาธิ สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปคือ เฉย ๆ รู้แล้วไม่ชี้ เหมือนกับผู้ที่เจนโลก ผ่านโลกมามาก เมื่อมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศมีคนสรรเสริญนินทา มีสุขมีทุกข์ ใจก็เป็นปกติ ก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็เฉย ๆ หรือบางทีมีภาพนิมิตเลื่อนลอยที่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ แนะนำว่า อย่าไปยึด อย่าไปติดนิมิต เป็นภาพนรกบ้าง สวรรค์บ้าง เทพบุตร เทพธิดาบ้าง หรือภาพอะไรต่าง ๆ สารพัด
สมาธิระดับนี้ มันไปเห็นนรกสวรรค์ยังไม่ได้ แต่ภาพเหล่านั้นมาฉายให้เราเห็น เพื่อจะบอกให้รู้ว่าจิตเรายังไม่บริสุทธิ์ ภาพนิมิตตรงนี้แหละที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า อย่าไปยึด อย่าไปสนใจเพราะว่ามันไม่ใช่ของจริงจังอะไร รวมทั้งภาพนิมิตที่เราสมมติเป็นดวงใสหรือองค์พระ พอถึงเวลาใจหยุดนิ่งแล้วก็ทิ้งไป
แต่นิมิตที่เราไม่ได้ติด เมื่อเวลาเรานิ่งสนิทนิมิตก็มาติดเรา เป็นของจริงอยู่ภายในนั้นมันอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นมีอะไรให้ดู เราก็ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น หยุดนิ่ง ๆ ให้ใจใส ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่าตั้งใจเกินไปนะ วางเบา ๆ ค่อย ๆ ประคับประคองใจของเราไป
* ปีติโลดโผน รู้สึกกายเบา ใจเบา เหมือนตัวลอยขึ้นไปในอากาศ
อาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 1
โดยคุณครูไม่ใหญ่