๔ ส. สำเร็จ
จำคำนี้ “สักแต่ว่า” นะลูกเอ๋ย |
จะเปิดเผยสิ่งล้ำค่าให้ลูกเห็น |
เห็นความมืดติดตาอย่าลำเค็ญ |
สักแต่ว่าฉันเห็นก็เป็นพอ |
นิ่งเบาๆ ต่อไปใจนิ่งนิ่ง |
เดี๋ยวก็ปิ๊งใสแจ๋วจนร้องอ๋อ |
เพิ่งเข้าใจ “สักแต่ว่า” วันนี้นอ |
ช่วยบอกต่อ “สักแต่ว่า” ค่าล้ำจริง |
ตะวันธรรม
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ ... หยุดแรก นี่จะยากสักนิด ก็ไม่ใช่ยากมาก ยากนิดหน่อย แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกฝน ทำความเพียรให้สมํ่าเสมอ ต้องมีสติกับสบายสมํ่าเสมอแล้วก็สังเกต ๔ ส. นี้ ต้องจำให้ดี
สติ ก็คือการดึงใจกลับมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลาเลย ทำอย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงเรื่องราวที่เราชอบ คือนึกแล้วมันไม่มึน ไม่ซึม ไม่ตึง ระบบประสาทกล้ามเนื้อต้องไม่เกร็ง ไม่เครียด ต้องผ่อนคลาย แต่ที่ไม่สบายก็เพราะเราเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู เพราะเราคุ้นเคยและก็ชินว่าการที่จะมองภายในนั้นต้องกดลูกนัยน์ตา ต้องเหลือบตาลงไป ถ้าเหลือบเฉยๆ มันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตั้งใจเกินไปมันก็จะแรง กดลงไปโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เราก็นึกว่าเรามองธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วเรากำลังกดลูกนัยน์ตา
สมํ่าเสมอ คือทำให้ได้ทุกวัน ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดินหรือว่าถ้ามันมากไปก็เอาแค่สองเวลา คือ หลับตากับลืมตา หรือหายใจเข้าหายใจออกก็ได้
สังเกต คือเวลาเลิกนั่งสมาธิแล้วให้หมั่นสังเกตว่า เราทำถูกหลักวิชชาไหม ถ้าไม่ถูกก็ปรับปรุงแก้ไข ถ้าถูกก็ทำให้เจริญขึ้น คล่องขึ้น ให้ชำนาญขึ้น สักวันหนึ่งก็จะเป็นวันสว่างของเรานะลูกนะ
การเห็นทางใจและการเห็นด้วยตาเนื้อ
การเห็นทางใจจะต่างจากการเห็นด้วยตาเนื้อ การเห็นด้วยตาเนื้อสำหรับคนที่มีดวงตาปกติ พอเราลืมตาเราจะเห็นได้ทันทีและของไกล ๆ มักจะเห็นชัดน้อยกว่าของใกล้ ๆ แต่การเห็นภาพทางใจนั้นจะค่อย ๆ เห็น คือค่อย ๆ ชัด เพราะเรายังมีความมืดในใจอยู่ เหมือนความมืดในยามราตรี ของอะไรอยู่ในที่มืดก็มองไม่ค่อยเห็นจนกว่าเราจะทำนิ่ง ๆ ให้สายตาคุ้นกับความมืดก็พอจะคาดคะเนว่ามีอะไรบ้าง แต่ก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนจนกว่าจะฟ้าสาง ๆ นั่นแหละจึงจะค่อย ๆ เห็น ภาพภายในจะคล้าย ๆ อย่างนั้น
จะมีมนุษย์พิเศษบางคนที่เขาสั่งสมบุญมามาก ฝึกมาข้ามชาติพอหลับตาเขาก็นึกภาพได้ชัดราวกับการเห็นภาพด้วยตาเนื้อถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ก็มี ๗๐ , ๘๐ , ๙๐ เปอร์เซ็นต์ก็มี แต่ที่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ยังไม่เคยเจอ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะค่อยเป็นค่อยไป
ซึ่งตรงนี้แหละ มันทำให้เราไม่คุ้น และมักจะขัดใจเราเสมอ เรามักจะฮึดฮัด เวลาเราอยากจะเห็นภาพภายในก็พยายามไปเค้นภาพ
มันก็ทำให้ระบบประสาทกล้ามเนื้อเกร็งและเครียด เขาก็อุทธรณ์ฟ้องเราว่ามันไม่ถูกวิธีแล้วแหละ ทนไม่ได้แล้ว ถ้าเราฝืนทำต่อไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะมันผิดวิธี
เพราะฉะนั้น จะให้ใจหยุดได้ก็ต้องหลับตาพอสบาย ปรือ ๆตานิด ๆ ไม่ถึงกับปิดสนิท แล้วก็ทำความรู้สึกว่าใจอยู่ในท้อง เราจะนึกเป็นภาพดวงแก้วใส ๆ หรือองค์พระใส ๆ ก็ได้ หรือองค์พระ
ที่เคยกราบไหว้บูชาองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือจะเป็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ดวงดาว เพชรสักเม็ดหนึ่งอยู่ในตัว ค่อย ๆ นึกไป นึกได้ก็เห็นได้ แต่ภาพที่เกิดจากการนึกมันไม่ชัดเจน เราก็ต้องใจเย็น ๆไม่ต้องใช้ลูกนัยน์ตากดลงไปดู ลูกนัยน์ตาก็ยังวางอยู่ที่เดิม แต่เรานึกภาพทางใจไว้ภายใน เหมือนเรานึกภาพดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า เรายังนึกภาพได้ โดยเราก็ไม่ต้องเหลือกตาขึ้นไปมองก็ยังนึกได้ว่าอยู่ข้างบนท้องฟ้า ทีนี้เราเปลี่ยนมาเป็นนึกในกลางท้องเรา เป็นดวงใส ๆ องค์พระใส ๆ ทำสบาย ๆ
ถ้ามีความรู้สึกเกร็งตึง แสดงว่าไม่ถูกวิธีแล้วต้องผ่อน แต่ที่สำคัญคือเปลือกตาอย่าเม้มสนิท
เมื่อเราปรือตาก็จะทำให้เกิดการผ่อนคลายระบบประสาทกล้ามเนื้อ และเราก็นิ่งอย่างนั้นเรื่อยไป
เลย จะมีคำภาวนา สัมมา อะระหัง ไปด้วยก็ได้ หรือไม่มีก็ไม่เป็นไร
เราก็ทำนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม คล้าย ๆ สำลีที่ลอยฟ่องไปบนท้องฟ้า หรือเหมือนขนนกที่ล่องลอยไป แม้ตกไปบนผิวนํ้าก็ไม่จม หรือจะนั่งนิ่ง ๆ อย่างนี้ก็ได้ ให้รู้จักว่า สบาย เป็นอย่างไรสบายในระดับนี้ ยังไม่ถึงสบายในระดับเข้าถึงความสุข แต่เป็นสบายในระดับที่ไม่เป็นทุกข์ ไม่เครียดก่อน เราค่อย ๆ ฝึกไป เพราะเรายังเป็นนักเรียนอนุบาลอยู่ อย่าไปฝึกแบบคนเก่งแล้วนะ เราฝึกแบบคนไม่เก่ง สบาย ๆ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ระวังเปลือกตานะ นิ่ง ๆอย่างเดียว นิ่งอย่างสบาย ๆ เดี๋ยวตัวจะขยายไปเอง แล้วก็หายกลืนไปกับบรรยากาศเลย
ที่นึกเป็นภาพก็จับภาพไว้อย่างละมุนละไม อย่าไปเค้นภาพองค์พระหรือดวงแก้วใส ๆ นะ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม สบาย ๆอย่าไปใช้กำลังในการบังคับใจเรา อย่าไปฮึดฮัด ให้นั่งแบบเยือกเย็นใจใส ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ
ศุกร์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗
จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 1
โดยคุณครูไม่ใหญ่