มีอะไรให้ดู..ก็ดูไป..
มีอะไรให้ดู เราก็ดูไป จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ
เป็นอะไรก็ช่าง โผล่ขึ้นมาในกลาง ก็ดูไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องไปปรับปรุง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องไปเพ่งขับไล่
หรือ ตัดภาพที่ไม่ต้องการออกไปเหลือแต่ภาพที่ต้องการ ไม่ต้อง!!!!
มีมืดๆ ดูมืดๆ มีสลัวๆ ดูสลัวๆ มีสว่างๆ เราก็ดู ดูเฉยๆ
เป็นมิตรกับความมืด (ไม่ใช่ศัตรู)
ความมืดเป็นมิตร
ไม่ได้เป็นศัตรูกับการเข้าถึงธรรม เป็นความมืดที่น่ารัก
ถ้าเรารู้จักที่จะอยู่กับความมืด ความมืดก็จะเป็นเกลอ เป็นสหายของเรา
อย่ากังวลกับการเห็นภาพ หรือว่าต้องเห็นอะไรอย่างนั้น
อยู่กับความมืดอย่างสบายๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ยิ่งมืดก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งใกล้สว่าง
ไม่ช้าความสว่างจะมาเอง
เป็นมิตรกับทุกๆ ประสบการณ์
เป็นมิตรกับทุกๆ ประสบการณ์ ที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะฟุ้งซ่าน มืด เมื่อย ง่วง เห็นภาพโน่นภาพนี่
แม้ไม่เห็นอะไรก็ตาม หรือจะไม่มีอะไรใหม่ๆ มาให้เราเห็นอีก
ก็เป็นมิตรในทุกๆ ประสบการณ์
หน้าที่เราดูอย่างเดียว สบายๆ
อยู่กับ “สิ่งที่เราเข้าถึงในตอนนั้น”
ไม่ต้องไปทำอะไร
ทำหยุดกับนิ่ง เฉยๆ ในสิ่งที่เราได้เข้าถึงในตอนนั้น
จะเป็นแสงสว่าง จะเป็นดวงธรรม เป็นองค์พระ หรือเป็นกายภายในอะไรก็แล้วแต่
พยายามจับตรงนี้ให้ได้ เดี๋ยวมันเป็นไปเอง
แต่ถ้าเมื่อไหร่ เรามีความรู้สึกคาดหวัง อยากได้ อยากมี อยากเป็น
หรือต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวมันหยาบ
สังเกตดู
GET คำว่า “หยุด” จะไว
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
ท่านให้สูตรสำเร็จเอาไว้เป็นสูตรชีวิต ผิดจากนี้ไปไม่ได้ ท่านบอกว่า
“หยุด...ตั้งแต่เบื้องต้น จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์”
“ไม่ต้องไปทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้”
.....ถ้าเราไม่ฟังผ่าน หรือฟังจนลืมฟัง ตรงนี้สำคัญมากนะ......
ถ้าฟังผ่านก็หลายปีทีเดียวกว่าจะหมดกรรม
พอหมดกรรม ก็จะมาทำตามแบบที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านแนะนำ
ตอนมีกรรมอยู่ ก็ทำตามแบบวิธีของตัวเอง ใช้พินิจพิจารณา
โดยเข้าใจว่า นั่นเป็นสติปัญญา เอามาใช้ในการปฏิบัติธรรม ซึ่งตัวคุ้นเคยกับวิธีการหยาบๆ ทางโลก
เพราะคิดว่าจะนำมาใช้ได้เหมือนกัน แล้วผลก็คือ
มันไม่ได้ผล ไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม