ทำหยุดนิ่ง....ต้องทำกันไปเป็นทีม
การที่เราเข้ามาสู่องค์กรนี้ เราจะต้องมีหัวใจเป็นดวงเดียวกันเป็นหนึ่งเดียว ต้องรับผิดชอบร่วมกัน นอกจากภารกิจที่ได้มอบหมายจากหมู่คณะแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบภาพรวมขององค์กรด้วย เพราะเราเป็นเจ้าขององค์กรกันทั้งหมด เราจะเอาเฉพาะกิจส่วนตัว หรือเฉพาะสิ่งที่เราได้รับมอบหมายอย่างเดียวนั้นไม่ได้เลยต้องมองภาพรวมให้ได้ แล้วก็สวมหัวใจเป็นดวงเดียวกัน จึงจะไปกันทั้งทีมได้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญเลยทีเดียว
หลวงพ่อได้ตั้งเจตนาเอาไว้ว่า “จะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม” ซึ่งลูกทุกคนที่เข้ามาอยู่องค์กรนี้ ก็ควรจะตั้งเจตนาอย่างนี้ ที่จะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วย ถ้าเราไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ชีวิตของเราก็จะถูกบังคับบัญชาของพญามารตลอด ไม่ว่าจะเกิดไปเป็นอะไรก็ตาม จะตกอยู่ในบังคับบัญชาของเขาทั้งหมดโดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระผู้ปราบมารท่านเข้าไปค้นพบว่า “มีหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะหลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของเขาได้ คือ การไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ให้สุดสายธาตุสายธรรม จึงจะพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสพญามาร” แล้วท่านก็มองเห็นจนกระทั่งท่านกล้ายืนยันออกมาว่า ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกาย ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยว่าพญามารบังคับบัญชาอยู่ และจะไปถึงต้องทำอย่างไร...จึงจะหลุดพ้นจากพญามารได้ เพราะบางทีไปอยู่ ณ สถานที่ซึ่งเข้าใจว่าพ้นไปแล้ว แต่จริง ๆ แล้วพ้นไปได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น และไม่รู้เลยว่ายังอยู่ในบังคับบัญชาของพญามาร
เพราะฉะนั้น....ญาณทัสสนะของพระเดชพระคุณหลวงปู่พระผู้ปราบมารที่ท่านเข้าไปรู้ไปเห็นอย่างนั้น ท่านจึงกล้ายืนยันว่า ความไม่รู้เป็นอันตรายอย่างยิ่งรู้ในระดับหนึ่งก็เป็นอันตรายที่รองลงมาความรู้ที่สมบูรณ์เท่านั้นเป็นสิ่งที่ปลอดภัย เพราะฉะนั้น....ท่านจึงอุทิศตนทำหยุดทำนิ่ง ค้นเข้าไปเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งธรรม เพื่อให้เลยจากที่พญามารบังคับบัญชาให้ได้ ท่านก็จะได้หลุดพ้นจากที่ถูกบังคับบัญชา และเมื่อท่านหลุดพ้นแล้ว ทั้งหมดก็จะหลุดพ้นตามกันไปด้วย เพราะทุกสิ่งล้วนเกี่ยวพันกันไปหมด แยกออกจากกันไม่ได้เกี่ยวพันกันหมดเลยตลอดนิพพาน ภพสามโลกันตร์ ทุกอย่างไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวพันกัน เราไม่ได้ไปเห็นอย่างนั้น เราจึงไม่รู้ เราจึงไม่เข้าใจ แต่เราจะเอาตัวของเราเองเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ เพราะเรายังเป็นผู้ที่ไม่ได้ไปเห็น
บัณฑิตนักปราชญ์จะต้องเอาความเห็นของผู้รู้เป็นหลัก ในเมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่พระผู้ปราบมารท่านมีญาณทัสสนะขนาดนั้น ท่านไปรู้ไปเห็นท่านยืนยัน ท่านมาแนะนำสั่งสอนให้เราได้เดินตามรอยท่าน ให้เราได้รู้ เราก็ควรที่จะเชื่อท่าน แต่การที่จะไปให้ถึงที่สุfแห่งธรรม หรือจะไปให้หลุดพ้นจากที่เขาบังคับบัญชามาเป็นชั้น ๆ นับชั้นไม่ถ้วน จะทำตามลำพังไม่ได้ ต้องไปกันเป็นทีมเพราะงานนี้เป็นงานใหญ่ ไปตามลำพังไม่ได้ สมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมารท่านยังต้องทำกันไปเป็นทีมเลย ทั้งวันทั้งคืนตลอด ๒๔ น. หมุนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยขาดช่วงในการที่จะมุ่งไปให้เลยหน้าพญามาร ไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม โดยการทำหยุดทำนิ่ง
เราไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากทำหยุดนิ่งไปเป็นทีมไปตามลำพังไม่ได้ สู้พญามารไม่ได้ เมื่อท่านทำอย่างนี้มาตลอด จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ซึ่งขนาดเป็นทีมแล้วยังสู้เขายังไม่ได้ ยังไปไม่สุดเลย แต่ท่านก็ไม่ท้อถอย ถูกถอดกายได้ก็ขึ้นไปทำต่อ แต่ว่าไม่มีกายมนุษย์หยาบ....ไม่แรง ไม่มีอานุภาพ แต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ใจท่านก็มุ่งมั่นว่ามาเกิดเมื่อใดก็ทำต่อกันอีกอย่างนี้แหละ จนกระทั่งไปถึงที่สุดแห่งธรรม
เราก็เช่นเดียวกัน จะต้องทำกันไปเป็นทีม จะต่างคนต่างทำกันไปไม่ได้ จะเอาความเห็นตัวเองเป็นหลักอย่างเดียวไม่ได้ จะทำงานเฉพาะจุดที่เรารับผิดชอบอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะต้องดูว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น มันเป็นผลดีต่อส่วนรวมหรือไม่ หรือทิศทางส่วนรวมตอนนี้เขาไปยังทิศทางใด
เมื่อหมู่คณะเราไปทางใด เราก็จะต้องทุ่มไปทางนั้นให้รวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่กระจัดกระจายกันไปทำ จะทำให้ไม่มีพลัง นี่เป็นหลักที่เราจะต้องยึดเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องการทำงานเป็นทีม เพราะฉะนั้นศิลปินเดี่ยวไม่ควรจะมีในองค์กรนี้ เรามีความสามารถเพียงใดเราก็ทุ่มลงไปในงานนั้น แต่อย่าลืมดูภาพรวมขององค์กรด้วย ถ้าลูกทุกคนทำได้อย่างนี้แล้ว ก็ได้ชื่อว่า “ทำกันไปเป็นทีม” เดี๋ยวความสำเร็จของเราก็จะเกิดขึ้น
คุณครูไม่ใหญ่
จากหนังสือ ง่ายที่สุดคือหยุดได้ เล่มที่ ๔