๕. ภังคญาณ
ภังคญาณ คือปัญญาที่พิจารณาเห็นการดับไปของรูปนามโดยส่วนเดียว
เมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดอยู่ในรูปนามทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาอยู่เสมอ ๆ วิปัสสนาญาณจะมีกำลังแก่กล้าขึ้น สภาวะของสังขารทั้งหลายปรากฏรวดเร็วมาก ทำให้วิปัสสนาญาณกำหนดไม่ทันความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความเป็นไป หรือนิมิตของสังขารทั้งหลาย สติและวิปัสสนาญาณคงกำหนดตั้งมั่นอยู่เฉพาะนิโรธ คือความสิ้นไปเสื่อมไป หรือแตกทำลายไปของสังขารทั้งหลายแต่เพียงอย่างเดียว
นิโรธมี ๒ อย่าง ความดับที่มีอาการเกิดขึ้นอีก และความดับที่เป็นมัคคนิโรธเช่นนิโรธของผู้เข้าผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติ ในญาณขั้นนี้หมายเอาอย่างแรก
เมื่อกำหนดเห็นเนือง ๆ ในสังขารทั้งหลายโดยความดับไป และเป็นผู้ปราศจากความกำหนัดแล้ว ย่อมสามารถกำหนดเห็นเนือง ๆ ในสังขารทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่เคยเห็นโดยความดับไปได้ เมื่อกำหนดไว้แต่ความดับอย่างเดียว วิปัสสนาญาณแก่กล้าขึ้น ก็ชื่อว่า สลัดสังขารทั้งหลายทิ้งไป ไม่ยึดถือ การกำหนดรู้ จิตที่มีรูปเป็นอารมณ์อยู่เนือง ๆโดยความดับไป มีลักษณะ ๒ ประการ
๑.กำหนดรู้ความสิ้นไป เสื่อมไปของรูป (ที่เป็นอารมณ์ของจิต)
๒. กำหนดรู้ความสิ้นไป เสื่อมไปของจิต (ที่มีรูปเป็นอารมณ์) ด้วยจิตอีกชนิดหนึ่งการเห็นแจ้งด้วยการกำหนดรู้อารมณ์อยู่เนือง ๆ มีลักษณะ ๓ ประการ
๑.การย้ายไปสู่อารมณ์ หมายความว่า เมื่อเห็นความดับของรูปด้วยจิตอย่างหนึ่งก็พึงเห็นความดับของจิตด้วยจิตอีกอย่างหนึ่งต่อไปอีก
๒. คงที่อยู่ในอารมณ์ คือพิจารณาแน่วแน่อยู่แต่ในความดับอย่างเดียว ไม่พิจารณาความเกิด
๓. มีกำลังเข้มแข็งในการนึกคิด คือสามารถนึกคิดติดต่อกันไปไม่มีหยุดคั่นเลยคือเมื่อเห็นความดับของรูปแล้ว ก็เห็นความดับของจิตต่อไปอีกการเห็นแจ้งดังนี้ เรียกว่า ปฏิสังขาวิปัสสนา ชื่อว่าเป็นภังคานุปัสสนา เหมือนกัน
วยลักขณวิปัสสนา การเห็นแจ้งลักษณะของความดับไป มีลักษณะ ๒ ประการ
๑. เมื่อกำหนดรู้อารมณ์ในสังขารปัจจุบันโดยความแตกดับอยู่ แม้สังขารในอดีตหรืออนาคตก็กำหนดรู้ได้เช่นกันว่าเคยแตกดับมาแล้ว และจักแตกดับต่อไป
สวิชชุมานมหิ วิสุทธทสสโน ตทนวย์ เนติ อดีตนาคเต
สพเพปิ สงฺขารคตา ปโลกิโน อุสสาวพินท์ สุริเยว อุคคเตฯ
ภิกษุผู้มีความเห็นบริสุทธิ์ในสังขาร ซึ่งมีอยู่ในปัจจุบัน ย่อมนำเอาความเห็น
บริสุทธิ์ไปในสังขารที่เป็นอดีตและอนาคตด้วย ว่าสังขารทั้งหลายแม้ทั่วทั้งปวง
ก็มีปกติแตกสลายไปเหมือนหยาดน้ำค้างแห้งไป เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมา ฉะนั้น
๒. มีลักษณะน้อมไปในนิโรธ เมื่อกำหนดรู้ความดับไปในอารมณ์ปัจจุบัน อดีตและอนาคตแล้ว จิตก็จะน้อมไปสู่ความดับอย่างหนักแน่น
อธิปัญญาวิปัสสนา การเห็นแจ้งด้วยปัญญาที่รู้ยิ่ง มีลักษณะ ๓ ประการ
๑. มีการกำหนดรู้อารมณ์ในรูป ว่าแตกดับอยู่เนือง ๆ
๒. เมื่อกำหนดรู้ความแตกดับของรูปด้วยจิตอย่างใดแล้ว ขณะต่อมาก็กำหนดรู้ความแตกดับของจิตเมื่อครู่นี้ได้
๓. เมื่อกำหนดเห็นความแตกดับของสังขารธรรมทั้งปวงอยู่เนือง ๆ ก็จะปรากฏชัดขึ้นในใจ ว่าทุกสิ่งมีแต่ความว่างเปล่า
"สังขารทั้งหลายนั่นเองเป็นสิ่งที่แตกดับไป การแตกดับของสังขารเรียกว่า ตายแท้จริงไม่มีสัตว์ หรือบุคคลใด ๆ เลย ที่แตกดับหรือตายไป”
ขันธา นิรุชฌันติ น จตฺถิ อญฺโญ ขนฺธาน เกโท มรณนฺติ วุจจ
เตส ขย ปสฺสติ อปปมาโต มนิ้ว วชณ์ วชิเรน โยนิโสฯ
ขันธ์ทั้งหลายดับไป ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคลใด ๆ ความแตกดับของขันธ์ทั้งหลาย
เขาเรียกกันว่าความตาย ผู้ไม่ประมาทเห็นอยู่ซึ่งความแตกดับของขันธ์ทั้งหลาย
เหล่านั้นด้วยอุบายอันแยบคาย เหมือนช่างเจียระไนเห็นแก้วที่ตนเจาะอยู่ด้วยเพ็ชร
ฉะนั้น (มุ่งดูอยู่เรื่องเดียว ไม่สนใจเรื่องอื่น)
การปฏิบัติถึงภังคญาณมีอานิสงส์ ทำให้จิตใจผู้ปฏิบัติไม่ส่ายไปส่ายมาในทิฏฐิต่าง ๆ เช่นสัสสตทิฏฐิ เป็นต้น จะเป็นผู้มีมนสิการอยู่เสมอว่า สิ่งที่ยังไม่ดับก็กำลังดับสิ่งที่ยังไม่แตกก็กำลังแตก เห็นอยู่แต่ความแตกดับของสิ่งทั้งปวง เหมือนเห็นการแตกของภาชนะบอบบาง การแตกฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนไปเมื่อมีผู้เอาของขว้างปาลงไปที่กองฝุ่น การแตกของเมล็ดงาที่ถูกคั่ว หรือเหมือนคนที่ยืนอยู่ริมสระมองเห็นฝนตกลงมาเป็นต่อมน้ำบนผิวน้ำในสระแล้วก็หายสิ้นไป มีพระพุทธดำรัสว่า
ยถา ปุพพฬก์ ปสฺเส ยถา ปสฺเส มรีจิก
เอว์ โลก์ อเวกขนต์ มัจจุราชา น ปสฺสติ ฯ
พระยามัจจุราชย่อมไม่เห็นบุคคล ซึ่งกำหนดเห็นโลก (ขันธ์ ๕) เหมือนเห็นต่อม
น้ำหรือพยับแดดฉะนั้น
เมื่อภังคานุปัสสนาญาณแก่กล้า ผลที่ได้รับ คือ
๑. ละภวทิฏฐิ
๒. สละความรักใคร่ในชีวิต
๓. มีความเพียรมั่นคงในการปฏิบัติ
๔. มีอาชีพบริสุทธิ์
๕. ละความทะเยอทะยาน
๖. ปราศจากความกลัว
๗. ประกอบด้วยขันติและโสรัจจะ
๘. อดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่พอใจ และในสิ่งที่กำหนัดยินดี