๑๔. มัคคญาณ
มัคคญาณ มี ๔ คือ โสดาปัตติมัคคญาณ สกทาคามิมัคคญาณ อนาคามิมัคคญาณ อรหัตตมัคคญาณ
โสดาปัตติมัคคญาณ
เป็นปัญญาที่ทำให้บรรลุถึงโลกุตตรภูมิอันดับแรก สามารถละกิเลสได้สิ้นเชิง ๒ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ความเข้าไปยึดมั่น ถือมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ บุคคล เราเขา และละวิจิกิจฉากิเลส อันเป็นธรรมชาติที่ทำให้ตัดสินใจลำบาก คือความลังเลสงสัยในสิ่งที่ไม่ควรสงสัย เช่นสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ญาณที่ต่อเนื่องกันอยู่ในระหว่างนี้ คือ อนุโลมญาณทั้ง ๓ ขณะมีหน้าที่ปัดเป่ากิเลสที่ปิดบังปัญญาอยู่ให้ออกไปให้สิ้น ทำให้เกิดโคตรภูญาณเห็นนิพพาน ยึดเอานิพพานเป็นอารมณ์ ต่อจากนั้นโสดาปัตติมัคคญาณก็เกิดเพื่อจะเจาะ ทุบ ทำลายกองกิเลส มัคคญาณจะเกิดตามโคตรภูญาณโดยไม่มีระหว่างคั่น คือเกิดตามติดมาทันที ไม่มีจิตชนิดอื่นมาขวางกั้นได้
เปรียบเหมือนคนปรารถนาชมจันทร์ ออกไปยืนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆ มองไม่เห็นเพราะเมฆบังดวงจันทร์ไว้ เมื่อมีลมพัดเมฆไป ๓ ครั้งจนหมด เปรียบเหมือนอนุโลมญาณทั้ง ๓ ขณะเมื่อเมฆหมด ดวงจันทร์ย่อมปรากฏ เปรียบดังโคตรภูญาณ คนจึงชมจันทร์ได้ เป็นมัคคญาณ
หรือเหมือนการใช้สัญญาณทำงานสิ่งใด สัญญาณนั้น คือโคตรภูญาณ การทำงานเป็นมัคคญาณ โคตรภูเป็นสัญญาณการนัดหมายว่า ขณะต่อไปนี้มัคคญาณกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
โสดาปัตติมรรค มิใช่มีหน้าที่เจาะทะลุ ทำลายกองกิเลส และประหารสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาได้สิ้นเชิงเท่านั้น แม้กิเลสอย่างอื่น ๆ ก็บรรเทาเบาบางลงไปด้วย ไม่มีกิเลสหยาบถึงขั้นจะนำไปปฏิสนธิในอบายอีกต่อไป จึงเรียกมรรคนี้ว่าเป็นมรรคที่ปิดประตูอบายเสียได้อานิสงส์ที่สำคัญที่สุด คือตัดวัฏฏะลง ทำให้เกิดอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติล้วนแต่เกิดในสุคติภูมิ ส่วนอานิสงส์ปลีกย่อยมีอีกนานัปการ
สกิทาคามิมัคคญาณ
เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ปรารถนาสำเร็จภูมิธรรมขั้นที่สองคือ สกิทาคามิมัคคญาณ ก็ทำความเพียรในวิปัสสนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยรวบรวมกระทำให้สม่ำเสมอกัน ในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และพิจารณาสังขาร คือขันธ์ ๕ ด้วยปัญญากำหนดในไตรลักษณ์ ทบทวนไปมา แล้วหยั่งจิตลงสู่วิถีของวิปัสสนาญาณ เมื่อปฏิบัติอยู่ดังนี้ ญาณต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นตามลำดับ คือ สังขารุเปกขาญาณ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ และ สกิทาคามิมัคคญาณ
ญาณในลำดับนี้ ทํากิเลสที่เหลือให้เบาบางลง โดยเฉพาะกามราคะและโทสะพยาบาท ที่เป็นอย่างหยาบสิ้นไป
อนาคามิมัคคญาณ
ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน เมื่อเป็นพระสกทาคามีอริยบุคคลแล้ว เจริญอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ ทำให้สม่ำเสมอกัน แล้วพิจารณาสังขารด้วยปัญญาที่กำหนดพระไตรลักษณ์ ทบทวนไปมา แล้วส่งจิตหยั่งลงสู่วิถีของวิปัสสนาญาณ ต่อจากนั้นอนุโลมญาณจะเกิดต่อจากสังขารุเปกขาญาณ แล้วจึงเกิดโคตรภูญาณ และอนาคามิมัคคญาณตามลำดับ ญาณนี้ละกามราคะและโทสะ ได้เด็ดขาดทั้งหยาบและละเอียดจนหมด
อรหัตตมัคคญาณ
ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน เมื่อบรรลุอรหัตตมัคคญาณ ละสังโยชน์เบื้องบนที่เหลืออีก ๕ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ได้หมดไม่มีเหลือ เป็นอันทำลายกิเลสทั้งปวงได้สิ้นเชิง
มัคคญาณทั้ง ๔ นี้เสวยนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นฝ่ายโลกุตตระ เห็นอริยสัจชัดแจ้ง คือเห็นนิโรธอริยสัจ เมื่อเห็นนิโรธอริยสัจแล้ว ย่อมเห็นสัจจะอีก ๓ ข้อนั้นไปด้วย เหมือนคุณสมบัติของไฟตะเกียงที่ลุกโพลงอยู่ ย่อม
๑. ท่าให้ไส้ตะเกียงไหม้
๒. กําจัดความมืด
๓. เกิดแสงสว่าง และ
๔. ทำให้น้ำมันหมดไป
• ทุกขูปนีโตปิ นโร สปญฺโญ อาสํ น ฉินฺเทยย สุขาคมาย
คนมีปัญญา ถึงเผชิญอยู่กับความทุกข์ ก็ไม่ยอมสิ้นหวัง ที่จะได้ประสบความสุข •
พุทธพจน์