การพิจารณาปล่อยวาง

วันที่ 22 มีค. พ.ศ.2567

220367b.01.jpg

 

การพิจารณาปล่อยวาง
๒ กันยายน ๒๕๓๓
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                เราได้บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เราจะได้นั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน ขอเชิญชวนทุกท่านนั่งขัดสมาธิ ให้นึกน้อมใจตามเสียงของหลวงพ่อไปทุก ๆ คน เลยนะจ๊ะ นั่งขัดสมาธิให้เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ แค่ผนังตาปิดเบา ๆ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี 

 


                กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวด ไม่เมื่อย เพราะเราจะต้องใช้เวลาต่อจากนี้ไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม สำหรับการปฏิบัติธรรม ดังนั้นต้องขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะจ๊ะ กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก ไม่ต้องถึงกับยืดตัวขึ้นไปมากหรือย่อตัวลงมา หรืองุ้มมาข้างหน้าเอนไปข้างหลัง หรือเอียงไปข้าง ๆ กะให้พอดี ๆ ของใครของมันนะจ๊ะ แล้วก็ลืมภารกิจเครื่องกังวลใจทั้งหลายให้หมด พยายามหัดสลัดทิ้งให้หลุดออกจากใจ ในชั่วขณะที่เราจะได้ปฏิบัติธรรม ฝึกหัดตัดใจ หักห้ามใจของเราเอาไว้ สลัดภารกิจทั้งหลายฝึกเอาไว้นะจ๊ะ 

 


                ในชั่วขณะที่เราจะปฏิบัติธรรม ทิ้งให้หมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว ลืมให้หมด สลัดทิ้งให้หมด ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่เคยพบปะเจอะเจอในสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ต้องหัดปลด หัดปล่อย หัดวาง หัดเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย ใหม่ ๆ มันก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เมื่อเราฝึกฝนบ่อย ๆ ต่อไปเราจะทำได้ในชั่วขณะที่เราจะปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมคือการทำใจของเราให้ว่างเปล่า ปราศจากภารกิจ ใสบริสุทธิ์ แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ภายใน มุ่งใจของเราให้ตรงต่อหนทางพระนิพพาน ปฏิบัติธรรมเรามีวัตถุประสงค์อย่างนี้

 


                เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นเครื่องกังวลใจ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม คือความกังวลใจในเรื่องราวที่เราคุ้นเคย ดังกล่าวแล้วทั้งหมด ภารกิจเครื่องกังวลใจต่าง ๆ เราต้องพยายามปลดปล่อยและก็วาง หัดฝึกใจให้ว่าง ๆ ไม่มีความคิดปรุงแต่งอะไรเลย หัดเอาไว้นะจ๊ะฝึกเอาไว้ เพราะว่าสักวันหนึ่งสิ่งที่เราฝึกฝนอันนี้แหละ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวของเราเอง โดยเฉพาะในยามที่เราจะละโลก เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้น่ะตายหมดทุกคน ตั้งแต่ตัวหลวงพ่อเอง หมดไม่มีเหลือเลย ทุกคนในนี้ตายหมด ช้าหรือเร็วเท่านั้น จะกำหนดวันเวลาสถานที่ไม่ได้เลย จะกำหนดโรคภัยไข้เจ็บอะไรไม่ได้เลย แต่ที่แน่ ๆ คือต้องตายหมด 

 


                ทีนี้ในตอนที่เราใกล้จะตายนี่ เป็นตอนหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทีเดียว จะไปสู่สุคติภูมิหรือทุคติภูมิ ขึ้นอยู่กับตรงนั้นแหละที่สำคัญ ถ้าหากว่าใจเรายังตัดความกังวลไม่ได้ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงบ้าน ห่วงช่อง ห่วงธุรกิจการงานหรือห่วงอะไรก็แล้วแต่ ใจตอนนั้นจะขุ่นมัว เศร้าหมองไม่ผ่องใส เราเกาะผูกพันกับสิ่งอะไร เวลาละโลกแล้วใจมันก็จะไปสู่ในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องหัดปลด หัดปล่อย หัดวางในตอนนี้ ตอนที่เราใกล้จะละโลกไม่มีใครช่วยเราได้เราต้องช่วยตัวของเราเอง คนอื่นได้แต่แค่เป็นคนคอยดูเท่านั้นคอยเชียร์คอยดู แต่ว่าช่วยอะไรเราไม่ได้ เราต้องพึ่งตัวของเราเอง

 


                ในยามนี้สำคัญ จะเอาใครมาช่วยไม่ได้ซักอย่าง เอาทรัพย์สมบัติเอาครอบครัว เอาภารกิจการงานเอาอะไรมาช่วยไม่ได้ทั้งนั้น ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวางกันไป และอันที่จริงสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ผูกพันกันอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง ให้สังเกตเวลาเรามาเกิดน่ะมันไม่มีอะไร มาตัวเปล่าแล้วก็ค่อย ๆ มีสิ่งต่าง ๆ อยู่ในโลกนี้เรื่อยเข้ามา มีเสื้อ มีผ้า มีที่อยู่อาศัย มีอาหาร มียารักษาโรค มีคนที่คอยผูกพันกัน วัตถุสิ่งของ ลาภยศสรรเสริญ มาในภายหลังทั้งนั้น ถ้าหากว่าเราใช้สติ ใช้ปัญญาทุก ๆ วัน เราจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ แค่เป็นเครื่องอาศัยอยู่ชั่วคราว

 


                สำหรับชีวิตที่มีกายเนื้อนี้อยู่ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรผูกพันยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งเป็นเหตุให้วิตกกังวล ทุกข์ร้อนหรือดิ้นรนแสวงหา มันเพียงแต่แค่เครื่องอาศัยสำหรับกายมนุษย์เท่านั้นไม่ใช่เป็นเครื่องสำหรับยึดติด เพราะฉะนั้นหมั่นฝึกหัดนึกคิดอย่างนี้นะจ๊ะ ทุกครั้งที่เราจะปฏิบัติธรรมน่ะ เพราะโอกาสที่เราจะนึกคิดอย่างนี้ มันมีไม่ค่อยมากเนื่องจากว่าเราจะต้องหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิตของเราอย่างนี้ และการหาเลี้ยงชีพก็ต้องคลุกคลีกับเรื่องราวต่าง ๆ ปัญหาต่าง ๆ มันก็ตามมา ต้องคอยขจัดคอยแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีเวลามานึกคิดในสิ่งเหล่านี้ 

 


                ดังนั้นเราก็จะเอาช่วงตอนที่เราจะปฏิบัติธรรมนี่แหละ นึกคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งของ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป ไม่ใช่เป็นของจริงของจัง ของแค่อาศัยกันอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว สำหรับกายมนุษย์เท่านั้น ให้ชีวิตนี้เป็นอยู่สืบต่อไป เพื่อจะได้เอาชีวิตนี้มาแสวงหาธรรมะ เพื่อเป็นที่พึ่งและที่ระลึกภายใน คิดอย่างนี้ทุกวัน แล้วใจจะผ่องใสใจจะไม่ค่อยขุ่นมัว ใจจะผ่องใส ใจที่ผ่องใสนี่แหละเป็นใจที่พร้อมที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน จะเข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ  

 


                พุทธรัตนะก็คือธรรมกาย กายท่านใสเป็นแก้ว นั่นแหละจะเข้าถึงอันนี้ เข้าถึงสรณะภายใน เมื่อเข้าถึงแล้ว เราจะได้รู้จักว่าความสุขที่แท้จริงน่ะมันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นหมั่นนึก หมั่นคิดทุก ๆ ครั้ง วันละเล็กวันละน้อย ก่อนที่เราจะปฏิบัติธรรมนะจ๊ะ ในตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้ใจว่างเปล่าหมดจากภารกิจทั้งหลาย ให้แค่นึกให้คิดว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา แม้แต่ร่างกาย ๆ ที่เราอาศัยปฏิบัติธรรมนี้ก็ไม่ใช่ของเราเป็นแค่เครื่องอาศัย ถ้าของ ๆ เรามันก็ต้องเชื่อฟังเรา อยู่ในอำนาจของเรา เราจะบอกเราจะสั่งอย่างไรนะ จะควบคุมอย่างไรก็ต้องเชื่อฟัง

 


                ทีนี้ร่างกายเราไม่เคยเชื่อไม่เคยฟังเลย บอกไม่ให้แก่มันก็แก่ ไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บไม่ให้ตายมันก็จะตายเรื่อย ๆ เส้นผมบนศีรษะจะให้มันสวยสดงดงามดกดำ เหมือนขนนกกาน้ำอยู่สม่ำเสมอมันก็เป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวก็เปลี่ยนสีสัน เปลี่ยนรูปร่างไป แล้วก็หลุดร่วงไปในที่สุด ฟันในปากของเราก็เหมือนกัน จะให้คงทนแข็งแรงสวยงามอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่เป็นไปอย่างนั้น เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง เปลี่ยนสีเปลี่ยนสันอยู่ตลอดเวลา แล้วในที่สุดมันก็หลุดร่วงไปทีละซี่สองซี่ 

 


                เพราะฉะนั้นของทุกอย่างในร่างกายนี้ เรายังควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจของเรา นับประสาอะไร ของที่นอกจากร่างกายของเราตั้งแต่เสื้อผ้า แหวน นาฬิกา สร้อย รถลา บ้านช่อง ผู้คน สามีภรรยา ลูกหลานเหลน พวกพ้องบริวาร ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ มันจะไปอยู่ในอำนาจของเราได้อย่างไร มันก็ไม่อยู่ในอำนาจ เพราะฉะนั้นมันอาศัยกันแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้วเราจะได้พิจารณาปล่อยวางซะ พอปล่อยวาง ใจมันจะได้ว่างเปล่า เมื่อใจว่างเปล่าดีแล้ว ต่อจากนี้ไปจะได้สอนวิธีทําภาวนาให้เข้าถึงธรรมกาย

 


                วิธีการภาวนาให้เข้าถึงธรรมกายนั้น จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำความเข้าใจได้แค่ไหน วางใจเป็นไหม วางใจถูกที่ตั้งหรือเปล่า ถ้าวางใจถูกที่ตั้ง วางใจเป็นไม่ช้าเราก็เห็นธรรมกาย เข้าถึงธรรมกายได้ วางใจถูกที่ตั้งเป็นยังไง เราต้องทราบว่าธรรมกายท่านสิงสถิตอยู่ที่ตรงไหน ธรรมกายท่านสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ สมมติว่าเราขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุมาด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นเชือกทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พระธรรมกายท่านสิงสถิตอยู่ที่ตรงนี้ 

 


                ถ้าหากเราเอาใจมาวางไว้ที่ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างนี้เรียกว่าวางถูกที่ ถ้าเราวางถูกที่ไม่ช้าก็จะถึงที่หมาย เพราะฉะนั้นจะต้องฝึกใจมาวางอยู่ที่ตรงนี้นะจ๊ะ ตรงฐานที่ ๗ ที่เหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสอง ขึ้นมาสองนิ้วมือ เอาใจมาวางไว้ที่ตรงนี้ ทีนี้วางใจให้เป็นน่ะ หมายความว่าอย่างไร วางใจให้เป็นก็คือ วางใจให้มันพอดีอย่าให้ตึงเกินไป และก็อย่าให้หย่อนเกินไป ตึงเกินไปเป็นยังไง ตึงเกินไปคือ เวลาเราเอาใจมาวางไว้ที่ตรงนี้ ถ้าตึงแล้วมันก็จะเกิดความเครียดขึ้นที่ร่างกาย คือปวดศีรษะมึนศีรษะ ปวดกระบอกตา ตึงไปหมดทั้งร่างกายหมดเลย ต้นคอ หัวไหล่ บ่า ตึงหมด เกร็งไปหมดเลย อย่างนี้เรียกว่าตึงเกินไป 

 


                หย่อนเกินไปเป็นอย่างไร เวลาเราเอาใจมาวางไว้ที่นี่ ไม่มีสติ ขาดสติไม่ได้เอาจริงเอาจัง เผลอเรื่อย เผลอไปคิดเรื่องอื่นมั่ง ปล่อยให้เคลิ้มไปมั่ง เมื่อเรื่องราวอะไรต่าง ๆ เข้ามาแทรกใจก็หย่อนไป หรือปล่อยให้เคลิบเคลิ้มไป ใจก็หย่อน อย่างนี้เรียกว่าหย่อนเกินไป ถ้าวางใจพอดีแล้วเป็นยังไงวางใจพอดีนั้นไม่ถึงและก็ไม่หย่อน ไม่มีอาการเครียดทางร่างกาย และไม่มีอาการเผลอสติ ใจเราจะไม่เผลอจากการบริกรรมบริกรรมสองอย่าง คือบริกรรมภาวนากับบริกรรมนิมิต บริกรรมภาวนาคือสัมมาอะระหัง บริกรรมนิมิตก็คือการตรึกนึกถึงดวงแก้วใสบริสุทธิ์ นึกควบคู่กันไป 

 


                เช่นเมื่อเรานึกดวงใสบริสุทธิ์ ของบริกรรมนิมิตไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราก็ไม่ลืมภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ภาวนาอย่างนี้น่ะไปเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่ง อารมณ์ที่สบาย ๆ แล้วก็ใจเย็น ๆ อารมณ์ที่ปลอดโปร่งอารมณ์ที่สบาย เป็นยังไง คือเมื่อเราภาวนาว่าสัมมาอะระหัง แล้วก็นึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ เรามีความรู้สึกว่าเราเพลิดเพลินต่อการภาวนา ไม่มีความรู้สึกว่าเราต้องฝืนภาวนา หรือพยายามที่จะภาวนา เป็นการนึกที่ต่อเนื่องกันไป อย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงของที่เรารัก หรือคนที่เรารู้จัก 

 


                มันจะต่อเนื่องกันไปอย่างของที่เรารัก เช่นสมมติว่าเราชอบแหวนสักวงหนึ่งที่ใส มีเพชรที่ใสบริสุทธิ์เป็นหัวแหวน เราได้มาเราก็เพลิดเพลินในการนึก นึกแล้วเราก็มีความอิ่มใจ ปิติใจ เบิกบานใจ มีความเพลิน หรือชายหนุ่มคิดถึงหญิงสาว หญิงสาวคิดถึงชายหนุ่ม คนที่เป็นคู่รักกันน่ะ จะนึกทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งนั่ง นอน ยืน เดินเข้าห้องน้ำห้องท่า นึกหมด อาบน้ำอาบท่าก็ยังนึก ทานอาหารก็นึก เดินไปก็นึกไปเรื่อย ๆ นึกอย่างเพลิน ๆ 

 


                การนึกถึงดวงแก้วบริกรรมนิมิต ดวงใสบริสุทธิ์ในกลางตัว และการภาวนาสัมมาอะระหังก็เช่นเดียวกัน ให้มีความรู้สึกเพลินอย่างนั้น โดยไม่ต้องมีความรู้สึกว่า เราถูกบังคับให้ภาวนา ถูกบังคับให้นึกถึงนิมิตเนี่ยะ ทำไปอย่างนี้แหละ เค้าเรียกว่านึกอย่างสบาย ๆ แล้วก็ต้องใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ เป็นยังไง ใจเย็น ๆ ก็คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในใจว่า เรามีหน้าที่ที่เราจะภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สัมมาอะระหังไปนึกถึงดวงใสไป และก็เราจะไม่มีความกังวลว่าดวงใสจะเกิดขึ้นชัดเจนเหมือนลืมตาเห็น

 


                เมื่อไหร่ เราไม่กังวลเลยว่าดวงใส ๆ บริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิต มันจะเห็นได้ชัดเจนเท่ากับเราลืมตาเห็น นี่เมื่อไหร่จะอีกกี่ร้อยปีหรือพันปี เราก็ไม่ได้กังวล ใจของเราก็ไม่เป็นทุกข์ด้วยในการที่เราภาวนา แม้ว่าเรายังกำหนดนิมิตได้ยังไม่ชัดเจน ก็ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน ไม่วิตกไม่กังวล ไม่รำคาญใจ ไม่หงุดหงิดงุ่นง่านไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจ นั่นแหละเรียกว่าใจเย็น ๆ ถ้าทำอย่างนี้เรียกว่าวางใจเป็น พอวางใจเป็นไม่ช้าก็จะเห็นภาพ ภาพดวงที่ใสบริสุทธิ์ที่เรากำหนดนึกไป ความนึกคิดนั้นมันจะค่อย ๆ ต่อเนื่องกัน ปะติดปะต่อกันไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดใจก็หยุดนิ่ง

 


                ใจหยุดนิ่งแล้วจะมีความรู้สึกที่แปลก แตกต่างจากใจที่ไม่ได้หยุด คือเราจะรู้สึกมีความปลอดโปร่งภายใน โล่งภายใน คล้าย ๆ กับร่างกายของเรามันกลวงเหมือนท่อน้ำ มันกลวง มันโล่ง และมีความรู้สึกพอใจที่เกิดอาการอย่างนี้ มีความรู้สึกเพลิดเพลิน มีความเบิกบาน อิ่มอก อิ่มใจ สบายใจเพิ่มขึ้น และก็ไม่มีอารมณ์อื่นมาคิดมาแทรก จะให้ไปคิดเรื่องอื่นมันก็ไม่คิด มันจะหยุดอยู่ภายในตรงฐานที่ ๗ มีความรู้สึกมั่นใจว่าตรงนี้เรียกว่าฐานที่ ๗ และพอใจที่จะเอาใจมาวางไว้อยู่ที่ตรงนี้ 

 

 

                เพราะว่าเอาใจมาวางไว้ตรงนี้ จะพบอารมณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน คือความสบายใจ เป็นความสบายใจที่ละเอียดอ่อนกว่าที่เคยเจอ นุ่มนวล เยือกเย็น ปลอดโปร่ง ผ่องใส ไม่อึดอัด ไม่คับแคบกล้ามเนื้อทุกส่วน เซลทุกเซลในร่างกายนี้มีความรู้สึกว่ามีชีวิตชีวา ความสุขถูกแผ่ขยายไปครอบคลุมทั่วร่างกายหมด นั่นแหละใจหยุดแล้ว พอใจหยุดไม่ช้าก็ตกศูนย์ มีอาการคล้าย ๆ กับเราหล่นจากที่สูงลงไปข้างล่างบางคนมีอาการคล้าย ๆ กับเหมือนกับเราตกลงไปในเหวอย่างนั้น หรือหล่นจากเครื่องบิน หรือคล้ายกระโดดน้ำโดดวูบลงมา นั่นใจตกศูนย์แล้ว  

 


                สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ใหม่ ๆ พอเจออาการเหล่านี้เข้า ก็ตกใจกลัว สะดุ้งไม่รู้ว่ามันจะหล่นไปที่ไหน อาการอย่างนี้ไม่เคยเจอ ไม่เคยเจอก็ฝืนเอาไว้ ฝืนเอาไว้มั่ง กลัวมั่ง ลืมตามั่ง สะดุ้งมั่งหวั่นไหวมั่ง แต่เมื่อได้รับคำแนะนำที่ดี ทำความเข้าใจแล้วก็จะปล่อยไปอย่างสบาย ๆ ไม่ฝืน พอไม่ฝืนถูกส่วนเข้าดวงธรรมเบื้องต้นก็จะบังเกิดขึ้นมา มันจะลอยสวนขึ้นมาเลยเป็นดวงที่ใสบริสุทธิ์ ใสยิ่งกว่าเพชร งามไม่มีที่ติ ใสเกินใส สวยเกินสวย สวยจนกระทั่งไม่ทราบว่าจะบอกว่าอย่างไร และมีประกายรัศมีสว่างอยู่ในตัวของมันเองสว่างเกิดขึ้นพร้อมกับใจที่ชุ่มเย็น ตั้งมั่น นุ่มนวล มีพลังอยู่ภายใน นั่นดวงธรรมเบื้องต้นบังเกิดขึ้นแล้ว 

 


                อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันบังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จะต้องพยายามปลดปล่อยวางจากภารกิจทั้งหลายนะจ๊ะ ใจของเราก็จะได้ตั้งมั่นอยู่ภายใน แล้วเราจะได้รู้จักว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร นี่แค่สุขแค่ถึงปฐมมรรคนะ ถ้าเข้าถึงธรรมกายแล้วจะสุขขนาดไหน ใครที่เข้าถึงจึงจะทราบได้ ถึงจะซาบซึ้งเมื่อเข้าถึงเพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้ดีทุกคนนะจ๊ะ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ ทุก ๆ คน

 


                อย่าลืมตา อย่าส่งใจไปที่อื่น ตั้งใจหยุดให้ดี ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ ให้เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายทุก ๆ คน ฐานที่ ๗ ทราบกันดีแล้วนะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาใหม่คือตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้งสองที่เราจึงจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้ายขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ให้เอาใจไปหยุดตรงนี้ วางเบา ๆ สบาย ๆ ส่วนท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอ ที่เข้าถึงดวงปฐมมรรคหรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้วก็เอาใจหยุดไปที่กลางดวงธรรมดวงนี้ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เช่นเดียวกัน ที่เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็เอาใจหยุดเข้าไปในกลางกายมนุษย์ละเอียด 

 


                ที่เข้าถึงกายทิพย์ ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายทิพย์ เข้าถึงกายรูปพรหม ก็เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายรูปพรหม ที่เข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายอรูปพรหม ที่เข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายธรรม ให้หยุดในหยุด หยุดในหยุด หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นิ่งในนิ่ง ลงไปตรงกลางนะจ๊ะ ให้ชัดในชัด ใสในใส ใสในใส ที่ตรงกลางตรงนี้ วางอย่างเบา ๆ สบาย ๆ ทุก ๆ คน กายต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่นี้

 


                ท่านที่มาใหม่ หมั่นพยายามมาบ่อย ๆ และก็ศึกษาให้เข้าใจ ว่าเป็นกายของเราเองทั้งนั้น ที่อยู่ภายใน มันซ้อนกันอยู่ ซ้อนอยู่ข้างในนี่แหละ แต่เราไม่เคยศึกษา เราไม่เคยได้ยินได้ฟังเราไม่เคยเข้าถึง จึงไม่ทราบว่ามีกายเหล่านี้อยู่ภายใน แต่ผู้ที่เค้าเข้าถึงน่ะ เค้าทราบอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นต้น หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ตลอดจนกระทั่งลูกชายหญิงของท่านที่ปฏิบัติเข้าถึง ทราบว่ากายเหล่านี้ มีอยู่ภายในตัวของเราทุก ๆ คนไม่ใช่มีแค่กายเดียว มีหลายกายทีเดียว คือกายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน ที่รูปร่างเหมือนกับตัวเรานั่นแหละ เวลาตายไปแล้ว กายนี้ก็ออกไปทำหน้าที่ไปเกิด นั่นกายไปเกิดมาเกิดอยู่ในกลางตัวนี่แหละ 

 


                กายทิพย์กายของสุคติภูมิกายของชาวสวรรค์ก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายมนุษย์ละเอียด กายรูปพรหมก็ซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์ เราจะรู้จักพรหมตัวจริง ๆ น่ะมันเป็นยังไง เมื่อใจเราเข้าถึงกายรูปพรหม เราจะเห็นถึงความแตกต่างของพรหมที่เป็นจริงที่อยู่ภายใน กับพรหมที่มนุษย์จินตนาการขึ้น สร้างมโนภาพ เอาไปวาด เอาไปเขียน เอาไปปั้น เอาไปหล่อ อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นน่ะมันไม่เหมือนกัน พรหมที่เราเห็นอยู่ที่เค้าวาดที่เค้าปั่นน่ะ มีทั้งหลายหน้าเยอะแยะไปหมด เพราะไม่รู้จักพรหมตัวจริง กายอรูปพรหมก็ซ้อนอยู่ในกลางของกายรูปพรหม 

 


                กายธรรมหรือพุทธรัตนะซึ่งเป็นหลักของชีวิตของพระศาสนาก็ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหม ซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ และแต่ละกายก็มีชีวิต มีจิตใจเหมือนกับกายหยาบนี่แหละ แตกต่างกันที่ดีกว่าในทุก ๆ ด้าน ทั้งสติทั้งปัญญาทั้งความสุข พลังใจ ความรอบรู้อะไรต่างๆ มีมากมายกว่ากายหยาบ และดีขึ้นเป็นชั้น ๆ เข้าไปที่ละเอียดกว่าก็จะดีกว่าที่หยาบกว่าดีที่สุดคือกาย ธรรม เพราะกายธรรมนั้นเป็นกายที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงไปตามความเป็นจริง เข้าอกเข้าใจอะไรทุกอย่างหมดเลย ไปตามความเป็นจริง แทงทะลุหมดในภพทั้งสาม กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทะลุหมดเลย แทงตลอดหมด

 


                แทงตลอดคือเห็นไปถึงไหนก็รู้ไปถึงนั่น เห็นได้ด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย หยั่งรู้ได้ด้วยญาณของธรรมกายความเห็นหรือความรู้รอบตัวทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล่างบน รู้เห็นไปหมดในเวลาเดียวกันทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน และก็ทั้งในอนาคต ทะลุหมดและก็เป็นกายที่จะขจัดกิเลส ขจัดอาสวะ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ให้หมดสิ้นไปได้กายอื่นขจัดกิเลสอาสวะไม่ได้ ไม่ได้เท่ากับกายธรรม แต่กายธรรมนั้นขจัดกิเลสอาสวะให้หมดกระทั่งกระทั่งสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เพราะว่ากายธรรมนั้นมองเห็นหมด กิเลสอาสวะจะซ่อนเร้นอยู่ที่ตรงไหนก็เห็นหมด เนื่องจากว่าเห็นได้รอบตัว ทั้งซ้ายทั้งขวา ทั้งหน้าทั้งหลัง ทั้งล่างทั้งบน ตรงกลางเห็นหมด ทะลุหมด ทั้งข้างนอกทั้งข้างในน่ะทะลุไปหมดเลย 

 


                เพราะฉะนั้นกิเลสอาสวะจะไปปิดบังมิดเม้นซ่อนเร้นอยู่ที่ไหน มองเห็นหมดด้วยธรรมจักขุ คือดวงตาของธรรมกายและก็หยั่งรู้ได้ด้วยญาณ ธรรมจักขุที่เห็นได้เพราะมีความสว่างเกิดขึ้น แสงสว่างบังเกิดขึ้นเมื่อเข้าถึงธรรมกายมันสว่าง สว่างกระทั่งมองเห็นเลย กิเลสอาสวะนี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยากเพราะว่าละเอียดอ่อน ตามองเห็นหมดกระทั่งรากเหง้าของกิเลสที่เป็นบ่อเกิดแห่งความโลภที่ทำให้มนุษย์มีความโลภ มีความโกรธ และก็มีความหลง กิเลส ๓ ตระกูลนี้ น่ะมองเห็นหมดเลย ลักษณะของความโลภมันเป็นอย่างไร โกรธเป็นอย่างไร ความหลงเป็นอย่างไร ทำไมเวลาที่เข้ามาครอบงำจิตใจมนุษย์แล้ว เราถึงตกเป็นบ่าว เป็นทาสของเค้า 

 


                เช่นถ้าความโลภเข้ามาครอบงำใจนั้น ทำไมเราถึงเกิดความรู้สึกไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่พอ ต้องแสวงหาอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา และยังไม่พอ กระแสนี้ยังบังคับแสวงหาและก็บังคับให้สร้างกรรม และก็มีวิบาก มีผล มีผลเป็นผังสำเร็จติดไปอีกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ส่งผลให้ไปเสวยความทุกข์ ทุกข์ทั้งในปัจจุบันในมนุษยโลก ทุกข์ทั้งในอบายภูมิ เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน อสูรกาย สัตว์นรกเกิดมาเป็นมนุษย์ในวัฏฏสงสารก็ยังทุกข์ต่อไปอีก นั่นน่ะวิบาก เค้าส่งกันต่อ ๆ กันไป ความโกรธก็เหมือนกันเวลาเค้าเข้ามาบังคับน่ะ 

 


                เค้าเข้ามาบังคับยังไง ก็เห็นด้วยธรรมกายนั่นแหละ บังคับแล้วให้สร้างกรรม พอกรรมแล้วก็มีวิบากส่งต่อไปอีก ทั้งในปัจจุบันตั้งแต่ให้เร่าร้อน ขุ่นมัว กระทั่งสร้างกรรม กระทั่งเบียดเบียนกัน และก็วนเวียนกันอยู่ในอบายอยู่ในสังสารวัฏ ไปเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ วิบากก็ติดไปส่งผลให้มีทุกข์ หรือความหลงทำไมเราถึงหลงทางจากพระนิพพาน หลงทางเข้าไม่ถึงธรรมกาย เพราะว่าเค้าทำให้หมกมุ่นในสิ่งที่ไม่เป็นจริงน่ะหลงผิดมั่ง หลงไหลมั่ง หลงลืมมั่ง สอนให้ภาวนาสัมมาอะระหังกลับลืมภาวนา ไปคิดเรื่องอื่นซะอีกนั่นน่ะ ก็จะมองเห็นด้วยธรรมจักขุน่ะมองเห็นตลอด มองเห็นไปถึงไหนก็รู้ไปถึงนั่น 

 


                แสงสว่างไปถึง ความรู้ก็ไปถึง และก็มีพลังที่จะขจัดกิเลสอาสวะอันนั้นน่ะ แวบเดียวหายเลย แวบเข้าไปเรื่อยเลยให้กลั่นทีเดียว แวบไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นกายต่าง ๆ เหล่านี้น่ะมันซ้อนกันอยู่ภายในเราเกิดกันมานี้ แต่ละภพแต่ละชาติก็ต้องการแสวงหาความรู้อย่างนี้แหละให้เข้าไปถึง ถึงที่สุดให้ได้ ของกิเลสของอาสวะ เมื่อขจัดกิเลสอาสวะหมดได้ เราก็จะได้เป็นตัวของเราเอง ควบคุมตัวเองได้จะปรารถนาอะไรมันก็ได้สำเร็จสมความปรารถนาจะมีแต่ความสุขอย่างเดียวทุกข์ไม่มีเจือเลย 

 


                ที่เรียกว่าเอกันตบรมสุข สุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เลย เป็นสุขอันเลิศสุขอันปราณีต และภพอันปราณีตที่จะรองรับกายที่เข้าถึงความสุขอันนี้ ที่เรียกว่า อายตนนิพพานก็จะดึงดูดไป ไปสู่ภพภูมิอันวิเศษ ที่มีแต่สุขล้วน ๆ นี่คือเป้าหมายของชีวิตที่เราเกิดมา ซึ่งจะเข้าถึงอันนี้ได้ เป้าหมายนี้ได้ก็ต้องเข้าถึงกายในกายซ้อน ๆ กันอย่างนี้แหละ กระทั่งเข้าถึงกายธรรม กายธรรมอรหัตที่สุดนั่น เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้ใจของเราวางไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ให้ใจเราหยุดในหยุด ๆ นึ่งในนิ่งให้ดี แล้วก็นึกน้อมเครื่องไทยธรรมทั้งหลายไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗   


                เราก็นึกน้อม ใหม่ ๆ ถ้าเรายังไม่ชำนาญมันก็นึกเหมือนเราชะโงกดูนั้นน่ะ เหมือนเปิดฝา ฝาโหล ฝาขวดโหลนั้นน่ะ แต่ถ้าคนที่เข้าถึงแล้วมันวูบเข้าไปข้างในเลย ไปรวมอยู่ข้างในนั้นเลย คือลืมเรื่องกายมนุษย์หยาบ ไม่ติดเรื่องกายเนื้อ มันจะวูบไปเลย ที่เข้าถึงน่ะ ทีนี้เราเอาใจของเราหยุดนะ หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่ง ให้ใจใสบริสุทธิ์ที่สุด อย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน ให้หยุดนิ่งคุณยายก็คุมพวกเราหมด คุมเครื่องไทยธรรมน้อมไปถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ทับทวีขึ้นไปเรื่อย ๆ 


                ถวายพระพุทธเจ้า แล้วก็กราบของบุญ ขอบารมีท่าน ขอศีล ขอพรท่าน กราบทูลท่าน ทุก ๆ พระองค์ให้สุดรู้สุดญาณว่าเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ เป็นของพวกเราทั้งหลายได้น้อมนำมาจากบ้าน โดยศรัทธาปสาทะเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันนี้จึงได้นำเครื่องไทยธรรมทั้งหมด มาถวายเป็นพุทธบูชา ขออานุภาพของทานบารมี อานุภาพที่จิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้บุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ บังเกิดขึ้นกับพวกเราทั้งหลาย คุณยายกราบทูลไปและขอให้อานุภาพแห่งบุญนี้ ขจัดทุกข์โศกโรคภัยพิบัติต่าง ๆ ให้หมดสิ้น ๆ ไป 

 


                ใครเจ็บใครป่วย ใครไข้ ก็ขอให้โรคภัยไข้เจ็บหายให้หมด ให้ร่างกายแข็งแรง อย่างได้เจ็บ อย่าได้ป่วยอย่าได้ไข้ ให้อายุยืนยาว ได้สร้างบารมีไปนาน ๆ ให้มีผิวพรรณวรรณะผ่องใส เป็นที่ดึงดูดตา ดึงดูดใจของมหาชน ให้มีความสุขกายสุขใจ ให้มีกำลังกายที่เข้มแข็ง กำลังใจที่แข็งแกร่ง กล้าที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลได้กำลังใจที่แข็งแกร่งที่จะสร้างความดีโดยไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ให้มีความเฉลียวฉลาดเข้าใจชีวิตได้อย่างดี สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยความสุข ด้วยความเบิกบาน 

 


                อยู่ในโลกนี้ด้วยชัยชนะแบบผู้ชนะโลกที่มีชีวิตอยู่ในความสุข ให้ความฉลาดนี้ทันผู้ทันคน ใครเป็นพาล ใครเป็นบัณฑิตให้แยกออกให้รู้กลวิธีของคนพาล และของบัณฑิต ของคนพาลก็ได้แทงตลอดหมด ของบัณฑิตก็ให้แทงตลอดหมด ให้มีดวงปัญญาอันเลิศที่จะทำมาหากินได้ถูกช่องถูกทาง เป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้แสวงหาทรัพย์ได้ด้วยสัมมาอาชีวะ เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ประดุจดังอนาถบิณฑิกเศรษฐี และมหาอุบาสิกาวิสาขาเศรษฐี ผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนามีทรัพย์แล้วก็ฉลาดในการใช้ทรัพย์เพื่อสร้างบารมี ใช้ทรัพย์นั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ใช้ทรัพย์นั้นเพื่อขยายความสุขไปยังชาวโลก 

 


                เผยแผ่พระพุทธศาสนาเกื้อกูลแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย อานุภาพแห่งบุญนี้ ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ให้รู้จักว่ากายภายในนั้นเป็นอย่างไร กายมนุษย์ละเอียดเป็นอย่างไร กายทิพย์ กายพรหม อรูปพรหมเป็นยังไง กายธรรมเป็นยังไงก็ให้รู้ รู้แจ้งเห็นแจ้งให้หมดเลย ให้ขอศีล ขอพร ขอบุญบารมีรัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน ให้หลั่งไหลมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ใครที่ตั้งใจมากก็ขอให้ได้บุญมาก ใครที่ตั้งใจย่อหย่อนลงไปก็ได้ไปตามส่วน และให้บุญนี้ติดไปทุกภพทุกชาติกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน ให้อยู่ในแวดวงบุญ วงของพระรัตนตรัย 

 


                อย่าพลัดไปเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย ให้เกิดในปฏิรูประเทศเกิดมาแล้วให้ได้ลักษณะมหาบุรุษสวยงาม มีสติ มีปัญญา สมบูรณ์ไปด้วยโภคทรัพย์ พวกพ้องบริวารที่ดีและมีจิตใจที่ตั้งมั่นจะสร้างบารมีต่อไปอย่าได้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้นในระหว่างการแสวงหาหนทางของพระนิพพาน ในเส้นทางแห่งการสร้างบารมีนี้ให้ทะลุปรุโปร่งไปให้หมด และก็ขอผลบุญปัจจุบัน คุณยายขอผลบุญไปด้วย คุมบุญไปด้วยว่าปัจจุบันนี้ ขอสมบัติให้บังเกิดขึ้นกับพวกเราทุก ๆ คน อานุภาพแห่งบุญนี้ให้ดึงดูดสมบัติต่าง ๆ ให้บังเกิดขึ้นกับทุกๆ คน 

 


                ไม่ว่าใครก็ตามที่ประกอบสัมมาอาชีวะ ให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตในธุรกิจการงาน ให้ซื้อง่ายให้ขายให้คล่องให้กำไรงาม ๆ ให้เงินทองไหลมาเทมาให้ได้ผลบุญในปัจจุบันและให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีการขัดแย้งกันเลย ทั้งพ่อบ้านแม่บ้าน ลูกบ้าน พวกพ้องบริวารในบ้าน อยู่เย็นเป็นสุขให้หมดลูกเต้า นักเรียน นักศึกษาก็ให้จิตใจจดจ่อตั้งมั่นในการศึกษาเล่าเรียน ให้แตกฉานแทงตลอด ในความรู้ที่ครูบาอาจารย์มอบให้ ให้ตั้งใจมั่นในการศึกษาเล่าเรียน และก็ให้ตั้งใจมั่นในการสร้างบารมี  

 


                ให้ความสุขบังเกิดขึ้นกับในครอบครัวธรรมกาย ครอบครัวของชาวโลกทั้งหลาย ให้มนุษย์เลิกเบียดเบียนกัน ให้มีจิตใจที่ปรารถนาดีซึ่งกันและกัน มีจิตประกอบไปด้วยพรหมวิหารธรรมบังเกิดขึ้น และขออานุภาพแห่งบุญนี้ ให้ทุกคนที่ทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร จะไปชักจูงแนะนำบุคคลใดก็ตามให้ตั้งมั่นอยู่ในพระรัตนตรัย ก็ขอให้มีวาจาเป็นที่รักของทุก ๆ คน พูดให้เป็นที่ถูกอก ถูกใจ ถูกพระทัยทุกคน ใครได้ยิน ได้ฟังก็ให้เกิดปิติ เกิดความเลื่อมใสขนพองสยองเกล้า และก็ตั้งใจมั่นที่จะเป็นกัลยาณมิตรต่อไป 

 


                ให้งานกฐินที่จะถึงนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์และเทวดา ให้ประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ให้คุณยายขอศีลขอพรนะจ๊ะ และก็คุมบุญให้ติดให้หมดทุก ๆ คน ใครจะปรารถนาอะไรในทางที่ถูกที่ควรที่ชอบ ให้สำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ เป็นอัศจรรย์ทันตาเห็น ต่างคนต่างอธิษฐานกันเงียบ ๆ นะจ๊ะ ตั้งใจให้ดี อย่าลืมตา อย่าขยับตัว อย่าพูดอย่าคุยอะไรทั้งสิ้น ให้ใจตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศลและก็อธิษฐานจิตตามใจชอบทุก ๆ คนเลยนะจ๊ะ 

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0062080979347229 Mins