วันของพระพุทธเจ้า
วิสาขบูชา ๒๕๓๗
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย ให้มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ นี่คือท่านั่งที่ถูกต้องถูกวิธี เป็นแบบแผนที่สืบต่อกันมา หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านได้แบบแผนนี้ จากท่านั่งนี้มาจากการบรรลุธรรมกายของท่าน เมื่อท่านเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ท่านก็ได้พบว่า ผู้ที่ไม่มีกิจอย่างอื่นทำ เป็นท่านั่งที่สมบูรณ์ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วนั้น จะต้องนั่งอยู่ในท่านี้ ที่กำลังแนะนำอยู่อย่างนี้นะจ๊ะ คือท่านั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักอย่างนี้แหละ แต่กายของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วหรือกายของพระธรรมกายนั้น กายท่านตรง กายท่านนี้ตรงทีเดียว แต่ของมนุษย์นี้ กายมันไม่ค่อยตรง มันคดค้อมอยู่ เพราะฉะนั้นก็ปรับเอาพอเหมาะพอดี ถือเอาความสบายเป็นหลัก แต่ก็จะต้องศึกษาแบบที่ถูกต้องอย่างนี้เอาไว้นะจ๊ะ
เมื่อเราปรับท่านั่งให้สบายแล้ว ก็ทำใจของเราให้เบิกบานให้แช่มชื่น กายสบาย ใจที่เบิกบานเป็นหัวใจอย่างสำคัญในการเข้าถึงธรรมนะจ๊ะ ต้องยึดหลักความสบาย ยึดหลักตรงนี้เอาไว้ให้สบาย ๆ อย่าให้มีส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเราเกร็งหรือว่าเครียด กล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตา หัวคิ้ว หัวตา อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นต้องผ่อนคลายให้หมด ตรงนี้สำคัญนะจ๊ะอย่าดูเบานะ ร่างกายต้องสบาย ใจมันถึงจะเบิกบาน หลับตาต้องให้เป็น ถ้าหลับตาไม่เป็นมันก็ไม่เห็นภาพภายใน แสงสว่างจะไม่ค่อยเกิด หลับตาไม่เป็นคือหลับอย่างนี้ หลับไปแบบบีบหัวตา ปิดเปลือกตาอย่างสนิททีเดียว กล้ามเนื้อบริเวณหัวคิ้วเหมือนมีแม่เหล็กติดไว้คนละขั้ว ขั้วเหนือ ขั้วใต้ ดูดเข้าหากัน ขมวดเลย คิ้วขมวดเข้าหากัน ปรากฏว่ายิ่งนั่งหน้ายิ่งเครียด ยิ่งเหี่ยว ยิ่งแก่ลงไป แล้วก็พยายามที่จะไปเค้นเอาภาพนิมิต ซึ่งสอนเอาไว้นึกถึงดวงแก้วหรือองค์พระก็ไปเค้นภาพซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในโลก ยังนึกไม่ออกมองไม่เห็นว่าใครในโลกจะไปเค้นภาพให้มันเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไปทำ ไปฝืน ทำวิธีแบบนี้ต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งติดนิสัย แล้วก็เป็นความเครียดสะสม กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะก็ตึงมึนอยู่ตลอดเวลา ลืมตาก็ตึงหลับตาก็มึน เป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้ผล
ดังนั้นตอนนี้ถ้าใครยังนั่งผิดวิธีปรับใหม่นะจ๊ะ ปรับให้ดี ให้สบาย แล้วก็หลับตาพอดี ๆ ยังไม่ต้องนึกอะไรทั้งสิ้น ทีนี้ก็ทำใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น ใจที่เบิกบานต้องไม่ขุ่นมัว ต้องไม่ขุ่นมัว ความขุ่นมัวเนี่ยะดูเหมือนจะชัดเจนกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ขุ่นมัวด้วยความขัดเคืองใจนี้จะชัดเจนกว่าอย่างอื่น คือกลุ้มคนนั้นโกรธคนนี้ หงุดหงิดคนนั้น รำคาญคนนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้นะจ๊ะ เรานึกทำใจของเราให้สบาย ๆ คล้าย กับเรานั่งอยู่ในกลางอวกาศโล่ง ๆ อยู่คนเดียว โดยไม่เคยมีภารกิจมาก่อน ไม่มีความผูกพันกับครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีเต้า ไม่มีสามี ภรรยา ไม่มีครอบครัว ไม่มีภารกิจการงาน ไม่มีภารกิจการศึกษาเล่าเรียน ทำตัวของเราให้สบาย ๆ ลองทำดูนะจ๊ะ ทำใจให้สงบนิ่งเหมือนนั่งอยู่กลางอวกาศโล่ง ๆ อยู่คนเดียว โดยสมมติเอาตัวของเราเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นศูนย์กลางเลยน่ะ
สมมติเอาตัวของเราเป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย และก็นึกตัวของเราเนี่ยะบริสุทธิ์ที่สุด นึกว่าให้ตัวของเราบริสุทธิ์ ให้บริสุทธิ์ทั้งกาย บริสุทธิ์ทั้งวาจา บริสุทธิ์ทั้งใจ จนกระทั่งก้อนกายของเรานี่ไสเป็นเพชรทีเดียว ใสเป็นแก้วใสเป็นเพชร ใจของเราอยู่ตรงไหนก็ช่างมันก่อน ให้มันใสบริสุทธิ์ คล้าย ๆ กระแสธารแห่งความบริสุทธิ์หลั่งไหลมาที่ตัวของเรา ตัวของเราประดุจภาชนะที่บรรจุความสุขความบริสุทธิ์ทั้งหลายอย่างเต็มเปี่ยม ความบริสุทธิ์นั้นกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้ใส ใสจนกระทั่งมีความสว่างแห่งความบริสุทธิ์ ปรากฏเกิดขึ้นแล้วขยายออกจากตัวของเรา ขยายกว้างออกไปเป็นปริมณฑลโดยรอบ กว้าง ๆ ไป อย่างไม่มีขอบเขต เหมือนวงกลมที่ไม่มีเส้นรอบวง ขยายกว้างไปทุกทิศทุกทาง
แผ่ความสุขและความปรารถนาดีทั้งหลาย ไปยังสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายโดยรอบ แผ่ไปอย่างละเอียดอ่อน อย่างมีพลังอย่างมีความสุข ให้แสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์นี้แผ่กว้างออกไป ไปกระทบคนก็ดี สัตว์ก็ดี สิ่งของก็ดี บริสุทธิ์ตามไปด้วยนะจ๊ะ แผ่ขยายให้กว้างออกไปจนสุดขอบฟ้า ขยายออกไปจนกระทั่งไม่มีประมาณ แล้วทำใจของเราให้ดื่มด่ำอยู่ในความสุข และความบริสุทธิ์นี้ไปเรื่อย ๆ ทำอย่างนี้ไปนะ ให้นิ่ง ๆ ให้สบาย ๆ ทำใจเย็น ๆ แผ่ออกไปเรื่อย ๆ เลยแล้วก็ทำใจให้นิ่ง ๆ ให้สบาย ๆ ถ้าใจสบายดีแล้วนี่ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธจำเป็นจะต้องรู้จักประวัติของพระองค์ท่านให้แจ่มแจ้งให้ซาบซึ้ง เราจะได้เกิดความปีติใจ ภาคภูมิใจว่าเรานั้นได้มาอยู่ในร่มเงาบารมีธรรมของพระองค์ท่าน ได้อาศัยหลักธรรมคำสอนของท่าน มายึดถือมาปฏิบัติจนกระทั่งเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ทำให้ชีวิตนี้มีความหวัง สมหวัง สมปรารถนา
เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะต้องมาระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าของเรานะจ๊ะ เอาเท่าที่เราเข้าใจหรือมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ แต่ในตอนช่วงนี้ เนื่องจากเรามีเวลาน้อย เราก็จะระลึกนึกถึงท่านอย่างย่อ ๆ นะจ๊ะ ระลึกนึกถึงท่านใสขณะที่ใจของเราหยุดนิ่งเป็นสุข สบาย ๆ นะ ทำตัวของเราประหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดนะจ๊ะ ให้นิ่ง ๆ เอาไว้ประวัติของพระองค์ท่านนี้เป็นประวัติที่ยิ่งใหญ่ การบังเกิดขึ้นของพระองค์ท่านเป็นการบังเกิดขึ้นได้ยาก และก็ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง เกิดมาขึ้นบังเกิดขึ้นของพระองค์ท่านเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง ประวัติของพระองค์ท่านนั้นชัดเจน แจ่มใสตั้งแต่การสร้างบารมีของพระองค์ท่าน มากมายทีเดียวนับภพนับชาติไม่ถ้วน สร้างความดีมาตลอด สร้างมาตั้งแต่สมัยที่ท่านแบกมารดาอยู่บนบ่าขณะว่ายน้ำอยู่ในกลางทะเล เพราะสำเภาเรือสินค้านั้นแตกจากพายุ ในขณะที่แบกอยู่บนบ่านั้นน่ะ ท่านเกิดมหากรุณาขึ้นมาเลย เกิดความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ คือปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาที่จะสร้างความดีให้บรรลุธรรมให้ค้นพบวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายอย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง
เมื่อพบแล้วก็ตั้งความปรารถนาที่จะขยายความรู้อันบริสุทธิ์นั้น วิถีทางดำเนินชีวิตอันบริสุทธิ์นั้น แจกจ่ายแก่ชาวโลกทั้งหลายให้ได้บรรลุหนทางเช่นเดียวกับพระองค์บ้าง โดยไม่หวงวิชาเลย เป็นความตั้งใจของท่านที่แตกต่างจากความตั้งใจของมนุษย์ธรรมดาทั้งหลายในโลก และอยู่ในท่ามกลางภัยทางธรรมชาติคือกลางทะเลจะมีสักกี่คนในโลกที่มีความคิดอย่างนี้ ในขณะที่ตัวเองก็กำลังมีภัยในกลางทะเล แล้วไม่ใช่ตามลำพังตัวเอง ยังแบกมารดาอยู่บนบ่า ได้ตั้งความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นั้นกลางทะเล และท่านก็ทราบดีว่าความปรารถนาของท่านนั้นน่ะ มันไม่ใช่ได้มาด้วยความง่าย แต่จะต้องได้มาด้วยความยากลำบาก จะต้องสละทั้งทรัพย์ สละทั้งอวัยวะ สละทั้งชีวิต ลำบากกันนับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียว เพื่อจะสั่งสมความดี สั่งสมบุญบารมีให้ได้บรรลุธรรม ตามความปรารถนาของพระองค์
แต่ แม้แต่ความปรารถนาจะเจออุปสรรคอย่างไรก็ตาม ท่านก็ไม่ย่อท้อ ประดุจดังอวกาศโล่ง ๆ แม้มีกองไฟอย่างมหึมาเกิดขึ้น แล้วให้ท่านก้าวเดินไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง โดยฝั่งโน้นจะเป็นฝั่งที่ทำให้ท่านบรรลุเป้าหมาย ท่านก็จะไปอย่างนั้น จะฝ่าเปลวเพลิงไปโดยไม่กลัวความยากลำบาก นี่คือความปรารถนาของพระองค์ท่านในท่ามกลางทะเลนะจ๊ะ แล้วท่านทำของท่านอย่างนั้นได้จริงๆ ซะด้วยบางคนตั้งความปรารถนาสูงส่งเอาไว้ แต่พอเจออุปสรรคบ้างเล็กน้อย ก็เลิกละความปรารถนานั้น บางคนเจออุปสรรคปานกลางก็เลิกละความปรารถนานั้น บางคนเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก็ละเลิกความปรารถนานั้น
แต่พระองค์ท่านไม่เคยละเลิกความปรารถนานี้เลย ไม่เคยล้มเลิกเลย ไม่ได้คิดถึงอุปสรรคด้วยซ้ำไป คิดถึงแต่เป้าหมายหรือความปรารถนานั้นต้องสมหวัง ท่านได้สร้างความดีอย่างนั้นสืบเนื่องกันมายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียว จนกระทั่งเกิดอุปมาขึ้นว่าท่านได้สละเลือดเนื้อและชีวิต ที่เป็นเลือดมากกว่าในท้องทะเลมหาสมุทรที่เป็นเนื้อก็มากกว่าในแผ่นดิน ที่ควักลูกนัยน์ตาก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ที่ตัดหัวบูชาธรรมน่ะ มากยิ่งกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป นั่นคือข้อความที่อุปมาเอาไว้ ทำกันอย่างนั้นนับภพนับชาติกันไม่ถ้วนทีเดียว
จนกระทั่งถึงวาระบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จึงคอยโอกาสแห่งการตรัสรู้ธรรม และการมาบังเกิดขึ้นแห่งความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์นั้น ไม่ได้ลงมาอย่างที่ไม่มีใครรู้เห็น ลงมาด้วยการเชื้อเชิญของเหล่ากายทิพย์ทั้งหลาย ชาวสวรรค์ ๖ ชั้นพรหม อรูปพรหม ต่าง ๆ มาประชุมพร้อมกันเลย ไปอาราธนาท่านลงมาบังเกิดเข้าสู่พระครรภ์ของพุทธมารดาในตระกูลของกษัตริย์ พระพุทธเจ้าของเราเกิดในตระกูลของกษัตริย์ทีเดียวนะจ๊ะ ถ้าพูดถึงชาติวุฒิของท่านก็ตระกูลก็สูง เกิดในตระกูลกษัตริย์ ในยุคที่มนุษย์ทั้งโลกยกย่องว่าเป็นตระกูลที่สูงที่สุด
เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาพุทธมารดานั้น ก็ไม่ได้ทำความทุกข์ทรมานให้เกิดขึ้นกับพุทธมารดาเลย และใจของพุทธมารดานั้นมีแต่กุศลธรรมบังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะหาเด็กที่เกิดในครรภ์มารดาแล้วทำให้มารดาเกิดกุศลจิตอย่างนี้เนี่ยะ ก็หาไม่ใช่ง่ายนัก มีความคิดเป็นกุศลและไม่ทุกข์ทรมานเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดาเลย สงบนิ่งตลอด แม้การเคลื่อนออกมา ประสูติออกมาก็ตาม ก็แตกต่างจากการประสูติ หรือการเกิดขึ้นของกุมารกุมารีทั้งหลาย นี่เป็นความอัศจรรย์ และเป็นจริงด้วยที่เกิดขึ้นมาแล้วทรงพระดำเนินได้ถึง ๗ ก้าว มีดอกบัวรองรับ เป็นจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยวิชชาธรรมกาย
ถ้าเข้าถึงธรรมกาย เหลียวมองไปทุกทิศทุกทาง มองเห็นแล้วนี่ใครที่จะได้ลักษณะมหาบุรุษอย่างพระองค์ท่านเนี่ยะไม่มี เกิดมาก็พูดได้ ที่เกิดพูดได้มีมาหลายชาติ นะไม่ใช่เฉพาะชาติสุดท้ายเท่านั้น เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ความอัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติเหนือกฎเกณฑ์ทั้งผองก็บังเกิดขึ้น ท่านพูดได้ พูดก็ไม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาพูด ที่เรียกว่า อาสภิวาจา เปล่งวาจาที่ไม่มีใครเหมือนเลย เป็นวาจาที่ยิ่งใหญ่ เป็นวาจาที่เป็นนิมิตหมายแห่งการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสันติสุขอันแท้จริงแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
การประสูติของพระองค์ท่านก็ชัดเจน เมื่อยังอยู่ในเยาว์วัย ก็มีสติปัญญาอันสูงส่ง อายุ ๗ ขวบเรียนรู้ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ๗ วัน กับครูที่มีความรู้สูงที่สุดในยุคนั้น ในเมืองนั้น ภูมิปัญญาของพระองค์ท่านขนาดนี้ทีเดียว เด็ก ๗ ขวบเรียนรู้ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ หรือ ๑๘ ปริญญาน่ะ โดยใช้เวลา ๗ วัน ทะลุหมดเลย นี่ก็เป็นความอัศจรรย์ทีเดียว ที่ท่านเรียนรู้ได้ทะลุอย่างนี้ก็เพราะว่าท่านเรียนวิชาซ้ำซากอย่างนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งมันแตกฉาน พอครูบาอาจารย์อ้าปากก็แทงตลอดหมดแล้ว เข้าใจหมด
นี่คือความอัศจรรย์ของท่าน และในใจของท่านก็มีความนึกคิดแตกต่างจากมวลมนุษย์ทั้งหลาย คือมวลมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นความทุกข์ เวลาตัวประสบทุกข์ ประสบไปนาน ๆ ก็เคยชิน พอเคยชินก็ไม่คิดหาหนทางที่จะออกจากความทุกข์นั้น และก็ไม่ทราบว่าอะไรเป็นต้นเหตุ อะไรเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ก็ไม่ทราบ ไม่มีความคิดที่จะออกจากความทุกข์นั้นเลย อยู่กันไปวันๆ ด้วยความเคยชินกับความทุกข์ ในเหล่านั้นทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกข์ประจำก็ดี ทุกข์จรก็ดี แต่พระองค์ท่านไม่อย่างนั้น คิดอยู่ตลอดเวลา มองเห็นคนเกิดแก่เจ็บตาย เห็นแล้วท่านได้คิดเป็นข้อคิดสะกิดใจทีเดียว ให้ท่านอยากจะแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ที่แท้จริง ให้ตัวเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้
และภาพเหล่านี้ก็เป็นภาพที่มนุษย์ทั้งหลายก็เห็นกันอยู่เป็นปกติ เห็นแล้วก็เฉย ๆ เห็นแล้วไม่คิดต่อ ก็วนกันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ท่านคิด คิดหาหนทางที่จะออกจากความทุกข์ แล้วท่านก็มีความเชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ ในใจว่าหนทางที่จะพ้นจากความทุกข์นั้นต้องมีหนทางที่จะพ้นจากความทุกข์นั้นต้องมี คิดอย่างนั้นเรื่อยไปเลย จนกระทั่งท่านครองเรือนแต่งงานครองเรือนก็ยังมีความคิดอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเบญจกามคุณ ต่าง ๆ ที่ชาวโลกเขาสยบอยู่ ติดอยู่นั้น ไม่สามารถที่จะไปผูกพันท่านได้ กักขังท่านได้ ครองเรือนไปด้วยก็คิดไปด้วย คิดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งถึงวันที่บารมีของท่านเต็มเปี่ยมก็ออกจากวังเมื่อท่านอายุได้ ๒๙ และก็ออกมาครองเพศของนักบวชแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ตลอดระยะเวลาถึง ๖ ปีเต็ม ศึกษาไปกับครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น ไม่ว่าจะวิธีการไหนก็ตาม ตั้งแต่การทรมานตัวเอง โดยมีความหวังว่าจะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระผู้เป็นเจ้าที่มองไม่เห็น บันดาลให้พบหนทางหรืออวยพรให้พรศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างหนึ่งที่จะทำให้มีอานุภาพเหนือมนุษย์ เหนือธรรมชาติทั้งหลาย ก็ทรงลองมาแล้ว หรือแม้กระทั่งศึกษาเกี่ยวกับเรื่องฌานสมาบัติก็ลองมาแล้ว ในที่สุดก็ไม่พบหนทางที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง จึงปลีกตัวออกมาแสวงหาที่สงบสงัด และในที่สุดท่านก็พบหนทางไปสู่อายตนนิพพาน
หนทางที่ท่านพบนั้นน่ะ พบในตัวของท่านเอง พบในตัวของท่านเอง ท่านทำของท่านอย่างนี้นะจ๊ะ ก็คือนั่งในท่าที่สบายอย่างนี้แหละ นั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ และก็หลับตาเบา ๆ ทําใจของท่านให้หยุดให้นิ่ง เฉย ๆ อย่างเดียว หยุดไปที่ในตัวของท่าน ในศูนย์กลางกาย หยุดนิ่ง ๆ ท่านหยุดนิ่ง ๆ นะจ๊ะ หยุดอย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องนึกต้องคิดอะไรเลย หยุดนิ่งพอถูกส่วนเข้าเท่านั้น ดวงใส ๆ บังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายของท่าน เป็นดวงสว่างกลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วเป็นดวงสว่างกลม ๆ เหมือนดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ใสบริสุทธิ์ เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดไม่มีข่วนคล้ายขนแมว ใสบริสุทธิ์ บังเกิดขึ้นในกลางกายของท่าน
ตอนนั้นความรู้สึกที่ร่างกายของท่านไม่มีแล้ว ไม่มีตัวตน มีความรู้สึกโล่ง ๆ ว่าง ๆ ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีตัวไม่มีตน เห็นแต่ดวงสว่างใสบริสุทธิ์บังเกิดขึ้น ใจท่านก็หยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมนั้น หยุดนิ่ง ๆ จนกระทั่งใจท่านกับดวงธรรมนั้น กลืนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกลืนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านถูกดูดวูบเข้าไปในกลางดวงธรรม เข้าไปอยู่ในกลางดวงธรรมนั้นเลย แล้วดวงธรรมนั้นก็ขยายส่วนกว้างออกไป ท่านก็จะพบดวงธรรมที่ละเอียดซ้อน ๆ กันอยู่ภายใน ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ทีเดียว พบความอัศจรรย์ทีเดียวว่า มีดวงธรรมซ้อนกันอยู่ ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ถึง ๖ ชั้นเข้าไปเลย พอสุดดวงที่ ๖ ท่านเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายตัวเองนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัว เห็นตัวเองทีเดียวนะจ๊ะ
นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกัน ใจของท่านก็หยุดนิ่งเรื่อยไป ไม่ได้ทำอะไรเลย หยุดนิ่งเฉย ๆ หยุดอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ต้องพิจารณาอะไรเลย หยุดนิ่งเข้าไป พอถูกส่วนก็เข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกายมนุษย์ละเอียด พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ก็ทรงค้นพบว่าแต่เดิมเราเข้าใจว่ากายหยาบเป็นตัวตนของเราที่แท้จริง แต่พอมาถึงกายมนุษย์ละเอียดนี้เราพบเพิ่มเติมขึ้นว่า กายมนุษย์หยาบนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องอาศัย เหมือนบ้านเรือนที่เราอาศัยชั่วคราวเท่านั้น หรือเหมือนเสื้อเหมือนผ้าที่เราสวมใส่อยู่ภายนอก มองเห็นชัดทีเดียวว่ากายมนุษย์หยาบเหมือนเปลือกนอก เหมือนเสื้อเหมือนผ้าหรือเหมือนบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ชั่วคราว
ใจท่านก็หยุดต่อไปอีก หยุดอย่างเดียว หยุดในกลางกายมนุษย์ละเอียด พอถูกส่วนก็พบดวงธรรมต่าง ๆ ซ้อนกันอยู่ภายในเป็นชั้น ๆ เข้าไป ดวงธรรมที่ละเอียดซ้อนอยู่ในกลางดวงธรรมที่หยาบ ซ้อนเข้าไปเป็นชั้น ๆ จนกระทั่งในที่สุดท่านก็เข้าถึงกายทิพย์ ถึงกายทิพย์ข้างในทีเดียว ในที่สุดท่านก็ค้นพบอีก พบเพิ่มเติมว่ากายทิพย์นี่ยังซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียดก็เหมือนกับเสื้อผ้า เหมือนบ้านเรือนอาศัยชั่วคราว ให้กายทิพย์อยู่ และก็พบต่อไปอีกว่ากายทิพย์ที่พบนี้ยังเป็นกายที่ยังไม่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ท่านก็หยุดต่อไปอีก ไม่สนใจ หยุดต่อไปเรื่อย ๆ ในกลางกายทิพย์นะ
ที่ศูนย์กลางของกายทิพย์ หยุดไปเรื่อย ๆ ท่านก็เข้าถึงดวงธรรมต่าง ๆ ในทำนองเดียวกัน ในที่สุดก็เข้าถึงกายรูปพรหม กายรูปพรหมที่ซ้อนอยู่ภายในของกายทิพย์ มีความสุขเพิ่มขึ้น ความทุกข์ลดลง แต่ยังไม่หมดทุกข์ และก็พบว่ากายทิพย์เหมือนเสื้อเหมือนผ้า เหมือนบ้านเรือนที่อาศัยชั่วคราว ยังไม่หมดทุกข์อย่างแท้จริง กายพรหมยังไม่หมดทุกข์อย่างแท้จริง ท่านก็หยุดต่อไปอีกในกลางกายของกายรูปพรหม ในที่สุดก็เข้าถึงกายอรูปพรหม ซึ่งเป็นกายที่ละเอียดกว่า อยู่ในกลางดวงธรรมดวงสุดท้ายของกายรูปพรหม กายอรูปพรหมนั้นก็มีความสุขเพิ่มขึ้นความทุกข์ลดลงไปอีก แต่ก็ยังไม่หมดโดยสิ้นเชิง แล้วก็พบว่ากายอรูปพรหมนั้นเหมือนเสื้อเหมือนผ้า เหมือนบ้านเรือนที่อาศัยชั่วคราวในทํานองเดียวกัน ท่านก็หยุดต่อไปอีก ในกลางกายของกายอรูปพรหม พอถูกส่วนก็พบดวงธรรมต่าง ๆ ในทำนองเดียวกัน ซ้อนกันอยู่ในภายในกายอรูปพรหม
และกลางดวงธรรมสุดท้ายนั้น ท่านก็เข้าถึงกายธรรมโคตรภู กายธรรมโคตรภูที่มีลักษณะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นแก้ว งามไม่มีที่ติ ท่านก็เข้ากลางกายธรรม ไปอีกในทํานองเดียวกัน พบดวงธรรมต่าง ๆ ในกลางกายธรรมโคตรภู กลางดวงธรรมดวงสุดท้ายก็พบกายธรรมพระโสดาบัน ยามต้นท่านเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน ถึงกายธรรมพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ ละกิเลสขั้นหยาบได้ไปอีก ท่านก็ปล่อยใจของท่าน เข้าไปอย่างนี้ หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ หยุดเข้าไปในกลางกายธรรมพระโสดาบัน หยุดเข้าไป ปล่อยใจเข้าไปเรื่อย ๆ พอถูกส่วนก็เข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี มีลักษณะเหมือนกับกายธรรมพระโสดาบัน แต่ว่าใสกว่า บริสุทธิ์กว่า สว่างกว่า ท่านปล่อยใจเข้าไปอีก ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี พอถูกส่วนก็พบดวงธรรมในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี ซ้อน ๆ กันอยู่ในทำนองเดียวกัน
ในกลางดวงสุดท้าย ท่านก็เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น วัดได้ ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกตุดอกบัวตูม พิมพ์เดียวกันเลยกับกายธรรมพระสกิทาคามี แต่ว่าใสกว่า สว่างกว่า บริสุทธิ์กว่า ท่านก็หยุดเข้าไปอีก ในกลางกายธรรมพระอนาคามีนี้ บรรลุในยามที่ ๒ บรรลุที่หนึ่งก็เปล่งอุทานที่หนึ่ง ท่านก็เปล่งอุทานอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ และก็ทำต่อไปอีก เอาใจหยุดอย่างเดียวในกลางกายธรรมพระอนาคามีก็เข้าถึงดวงธรรมต่าง ๆ ในทำนองเดียวกัน จนกระทั่งยามสุดท่านเข้าถึงกายธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใสบริสุทธิ์ สว่าง กิเลสต่าง ๆ ก็หมดสิ้นไป พร้อมกับการผุดขึ้นมาของดวงอาทิตย์ เกิดขึ้นมาที่ขอบฟ้า ขจัดความมืดในยามราตรีให้หมดไป ท่านบรรลุถึงกายธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในยามสุดท้าย
นี่คือการตรัสรู้ธรรมของท่านโดยอาศัยหยุดอย่างเดียวเท่านั้น หยุดกับนิ่งอย่างเดียว หยุด นิ่ง เฉย ไปที่ศูนย์กลางกาย แล้วก็เห็นมาตามลำดับ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งบรรลุกายธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือการตรัสรู้ธรรมของพระองค์ท่าน หลังจากนั้นก็ศึกษาค้นคว้าเรื่อยมาอีก ๗ อาทิตย์ ศึกษาเรื่อยมาเลย เสวยวิมุตติสุขด้วย และก็ศึกษาค้นคว้าธรรมอันยิ่งไปเรื่อย ๆ ๔๙ วันไม่ได้ฉันอาหาร ไม่ได้เสวยอาหารเลย เป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับมนุษย์ แต่ว่ามีความสุขอยู่ในธรรมนั้น ธรรมปีติที่เกิดขึ้น จิตใจเบ่งบานอย่างไม่มีขอบเขต ใจก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมนั้น หลุดร่อนออกมาเลย ทะลุหมดเลย
เป็นกายธรรมนั้นทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดินในทุกอิริยาบถเป็นกายธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสุขอยู่ตลอดเวลา พ้นจากความรู้สึกของกายหยาบเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลาเลย ๔๙ วันก็ศึกษาวิชชาธรรมกายต่อไป โดยอาศัยธรรมกายศึกษาไป เข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ๗ คืนไม่ถอนถอย นั่งมั่ง ยืนมั่ง เดินมั่ง นั่ง ๗ วัน ยืน ๗ วัน เดิน ๗ วัน ศึกษาวิชชาธรรมกายไปเปลี่ยนอิริยาบถ ศึกษาไปเรื่อย ๆ เข้ากลางไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ถอนถอย เห็นกายธรรมในกายธรรม กายธรรมในกายธรรมไปเรื่อย ๆ พอถึงกายธรรม ธรรมจักขุ ก็บังเกิดขึ้น ทำให้เห็นได้รอบตัว เห็นได้ชัดเจน เห็นได้ทั้งในอดีตเห็นได้ทั้งในปัจจุบัน และเห็นได้ทั้งในอนาคต เพราะว่าใจหยุดอยู่ตรงกลางอย่างเดียวในกลางธรรมกาย
ธรรมจักขุก็บังเกิดขึ้น ขยายความเห็นไปได้รอบทิศ เห็นไปได้รอบตัวทีเดียว เป็นความเห็นที่แตกต่างจากการเห็นของตามนุษย์ ตามนุษย์มองเห็นได้ด้านเดียวเท่านั้น แต่ตาของธรรมกายหรือธรรมจักขุนั้นเห็นได้รอบทิศ จะน้อมไปในอดีตก็เห็นในอดีตจะน้อมเห็นปัจจุบันก็เห็นปัจจุบัน จะน้อมไปในอนาคตก็เห็นอนาคตบังเกิดขึ้น สว่าง สว่างอยู่ตลอดเวลา เหมือนตัวของท่านเป็นจุดศูนย์กลางของสรรพสิ่ง เป็นจุด ศูนย์กลางเท่านั้น เห็นได้รอบทิศเห็นได้รอบตัวทีเดียว ท่านได้แนะนำคำสอนของท่านสืบเนื่องมาตั้งแต่เบื้องต้น พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เรื่อย มาเลย ตลอด ๔๕ พรรษา โดยไม่กังวลกับความทุกข์ยากลำบากของกายเนื้อเลย สั่งสอน มีความปรารถนาอย่างเดียว อยากจะให้ทุกคนได้ทําวิชชาเป็นอย่างพระองค์ท่านบ้าง จะได้พบความสุขที่แท้จริง
เพราะมนุษย์ทุกคนมันมีปัญหาชีวิตกันทั้งนั้น แต่วิธีแก้ปัญหาของมนุษย์นั้นแก้ที่ปลีกย่อย ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ แก้ปลายทาง เพราะว่าความรู้ไม่สมบูรณ์ความรู้ในยุคหนึ่งถูกอีกยุคหนึ่งผิด คิดอะไรขึ้นมาได้ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปอย่างนั้นแต่ของท่านชี้แนะวิธีที่จะแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดทีเดียวไปถึงรากเหง้าของปัญหา คือท่านสอนสรุปโดยย่อก็คือว่า ให้มนุษย์ทุกคนกล้าหาญพอที่จะมองชีวิตของตัวเรา ว่าพื้นเพของชีวิตนั้นเป็นความทุกข์ เป็นของมีจริงเป็นสิ่งที่ควรจะรู้ คือมาพิจารณาให้รู้เรากำลังทุกข์อยู่จริง ๆ นะ จนกระทั่งทั่วถึงยอมรับเลยว่าเรามีความทุกข์จริง ๆ มันจะได้เกิดแรงบันดาลใจ อยากที่จะค้นหาสาเหตุแห่งความพ้นทุกข์ และท่านก็สอนต่อไปอีกว่า เหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมด มันมาจากความทะยานอยาก ตั้งแต่อยากได้เล็กน้อย อยากปานกลาง กระทั่งอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลยน่ะ
ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความอยากที่ระคนไปด้วยความเพลินอยู่ในโลก อนันทิ อราคะ สหคตา ระคนไปด้วยกับความเพลิน เป็นความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด และสิ่งที่ตัวอยากก็มีปัญหาอยู่ในตัว เมื่อได้มันมาก็ต้องตามแก้ปัญหาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นวิธีที่จะพ้นทุกข์ได้นั้น ต้องหยุด หยุดคือหยุดใจเลย ทำใจเนี่ยะให้หยุดอยู่ภายใน ติดสนิทอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย อย่างนี้หยุดตลอดกาล ถ้าหยุดอย่างนี้ได้ ความชั่วทั้งหลายไม่เข้าแทรก จะมีแต่ความดีล้วน ๆ ความสุขล้วน ๆ มีพลังสติปัญญาล้วน ๆ หยุดอย่างนี้คือเป้าหมายของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พอหยุดถูกส่วนก็ถึงมรรคทีเดียว เห็นหนทางของพระอริยเจ้าบังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เป็นดวงใส ๆ ดังกล่าวมาแล้วทั้งหมด และก็หยุดเรื่อยไป จนกระทั่งเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เช่นเดียวกับพระองค์อย่างนั้น นี่คือวิธีวิชชาที่ท่านสอนตลอด ๔๕ พรรษาโดยย่อ ส่วนการดัดแปลงให้ถูกจริตอัธยาศัยนั้นก็มีแตกต่างกันออกไป แต่โดยสรุปแล้วท่านสอนอย่างนี้ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย
การดับขันธปรินิพพานของท่านก็แตกต่างจากศาสดาทั้งหลาย คือท่านอยู่ในอิริยาบถท่านอน และก็ประชุมสาวกทั้งหลาย ประชุมพุทธบริษัท ๔ ทั้งหมด เป็นบรมครูครั้งสุดท้าย ว่าใครสงสัยเกี่ยวกับคำสอนที่สอนมา ๔๕ พรรษา สงสัยเรื่องอะไรให้ถามได้ แม้ยามจะดับขันธปรินิพพานแล้วนี่ ยังประชุมพุทธบริษัท เปิดโอกาสให้ซักถามข้อข้องใจเกี่ยวกับหนทางในการดำเนินชีวิต จากเบื้องต้นจนกระทั่งบรรลุธรรมอันสูงสุดที่พระองค์สอนมา ๔๕ พรรษา แต่ไม่มีใครถามเลย ไม่ใช่เกรงใจแต่ว่าเข้าใจ ไม่ได้เกรงใจพระองค์ท่าน แต่ว่าเข้าใจและซาบซึ้งในสิ่งที่พระองค์ท่านสอนตลอด ๔๕ พรรษา และในการจากไปของพระองค์ท่านมีผู้รับรู้รับเห็นเป็นพยานตลอดคือ พระอนุรุทธ ว่าในขณะนี้ท่านเข้าโลกุตตรฌานสมาบัติ โดยอาศัยธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ากลางไปเรื่อย ๆ ไม่ซ้ำสมาบัติทีเดียว เห็นธรรมกายในธรรมกาย ซ้อน ๆ ๆ ๆ กันไปตามลำดับ นับไม่ถ้วนที่เดียว
จนกระทั่งธรรมกายละเอียด เท่ากับอายตนนิพพาน เท่ากับอนุปาทิเสสนิพพาน พอถูกส่วนก็ถอดกายออก เอาธรรมกาย เข้าสู่อายตนนิพพาน พอละเอียดถูกส่วนเข้า อนุปาทิเสสนิพพานก็ดูดธรรมกายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปสู่ในกลางอายตนนิพพาน สว่างพรึบ เป็นธรรมกายบนโน้นทีเดียว พระอนุรุทธ ท่านมองเห็น เพราะฉะนั้นตั้งแต่การบังเกิดขึ้นของพระองค์ท่าน ด้วยชาติวุฒิก็ดี ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิก็ดี สมบูรณ์ทั้งหมด ควรแก่การระลึกนึกถึงพระองค์เป็นอย่างยิ่ง และควรแก่การภาคภูมิใจในพระบรมศาสดาของเราในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ วันนี้ควรจะตรึกระลึกนึกถึงพระองค์ท่านให้ได้ทั้งวัน ว่าการบังเกิดขึ้นของพระองค์ท่านนั้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย การที่จะระลึกนึกถึงพระองค์ท่าน ก็ควรทำในสิ่งที่พระองค์ท่านอยากจะให้ทำ นั่นก็คือการปฏิบัติบูชา
เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ไป ให้ลูก ๆ ชายหญิงทั้งหลาย ให้ตั้งใจใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้นะจ๊ะ ทำใจของเราเนี่ยะให้หยุดให้นิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกาย ให้หยุดให้นิ่งศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าของเราเพราะวันนี้เป็นวันพระพุทธเจ้า ให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้านะจ๊ะ "ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ" ธรรมกายคือตัวพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมกาย ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาระลึกนึกถึงพระธรรมกายกันนะจ๊ะ แต่ถ้าใครยังเข้าไม่ถึงธรรมกาย ก็ระลึกนึกถึงพุทธปฏิมากร พระพุทธรูปที่เราเคารพกราบไหว้บูชา เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นั้นมาเป็นสรณะ มาเป็นที่พึ่งที่ระลึก ให้ทำใจของเราให้เบิกบานนะจ๊ะ ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ผ่องใส นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพกราบไหว้บูชา ท่านได้ติดหูติดตาทีเดียวนะจ๊ะ จำท่านได้จะทำด้วยวัสดุอะไรก็ตาม จะทึบก็ดี จะใสก็ดีได้ทั้งนั้น จะเป็นโลหะ จะเป็นแก้วใส ๆ หรือจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นนะจ๊ะ นึกถึงท่านอย่างสบาย ๆ ประหนึ่งว่าเราเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ท่าน อยู่ต่อหน้าท่าน
นึกถึงพระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นแก้ว ถ้าสามารถนึกใสได้ก็ดีนะจ๊ะ นึกอาราธนาให้ท่านมาสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายของเรา ถ้าสามารถทำได้นะ ให้นึกท่านให้มานั่งที่ศูนย์กลางกายหรือกลางท้องของเรา หรือตรงไหนก็ได้ที่เราเห็นได้ชัดเจนนะจ๊ะ นึกถึงท่านอย่างสบาย ๆ ให้ท่านหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ยอมหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา จะหันหน้าเข้าหาเราก็ได้ ไม่เป็นไร นึกอย่างสบาย ๆ ทำใจเย็น ๆ วันนี้ทั้งวันเราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าของเรา และก็ภาวนาสัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ๆ ๆ เรื่อย ๆ ไปนะจ๊ะ นึกไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ วันนี้เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าของเราทั้งวัน จะนั่งจะนอน จะยืน จะเดิน ตรึกทั้งวัน วันนี้จะไม่ให้ใจเป็นอกุศลเลย จะให้ใสบริสุทธิ์ สว่าง ตอนนี้ขอให้ทุกคนเลย ทั้งนั่งที่นี่ก็ดี ทั้งต่างประเทศก็ดี ตรึกระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ทำใจของเราให้เบิกบาน ถ้าเมื่อยเราก็ขยับ ถ้าง่วงเราก็ลืมตา ถ้าฟังเราก็ทำใจให้สบาย ๆ แล้วก็เริ่มต้นว่ากันใหม่ ทำกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ เอาล่ะต่อจากนี้ไปให้ทุกคนนั่งหลับตา ตรึกนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยใจที่เบิกบาน ด้วยใจที่แช่มชื่น ด้วยใจที่สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสถ้าเมื่อไหร่เราเข้าถึงพระรัตนตรัยได้ เมื่อนั้นใจของเรานี่จะเป็นประดุจภาชนะที่ใหญ่ ที่สะอาด ที่บริสุทธิ์ เป็นภาชนะที่จะเหมาะสมต่อการที่จะรองรับบุญใหญ่ อย่าลืมตา อย่าพูดอย่าคุยกันนะ ให้ตั้งใจกันให้ดีทุก ๆ คนนะจ๊ะ