เราเลือกเกิดได้
มาฆบูชา ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
ขอเรียนเชิญทุกท่านนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันทุก ๆ คนนะจ๊ะ ตั้งใจกันให้ดี ทุก ๆ คน ก่อนจะสร้างมหาทานบารมีเนี่ย เราจะต้องชำระกายวาจาใจของเราเนี่ยให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น บุญใหญ่จะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย ๓ ประการคือตัวของเราซึ่งเป็นทายกทายิกา ต้องเป็นผู้ที่มีกายวาจาใจสะอาด บริสุทธิ์ ใจหยุดนิ่งอย่างดีแล้ว และก็มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเนี่ย ในมหาทานบารมีนั้น ประการที่ ๒ วัตถุทานนั้นจะต้องได้มาด้วยความชอบธรรมด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปคดไปโกงไปขโมยเข้ามา ประการที่ ๓ ปฏิคาหก ผู้รับวัตถุทานนั้นจะต้องเป็นเนื้อนาบุญ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นทักขิไณยบุคคลหรืออย่างน้อยตั้งใจที่จะชำระกายวาจาใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส เมื่อทั้ง ๓ อย่างนี้ตรงกัน ก็จะเป็นมหากุศล
เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป ให้ทุกท่านตั้งใจให้ดีนะจ๊ะ ทำใจของเราให้หยุดให้นิ่งไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างที่ได้สอนเอาไว้เมื่อเช้านี้ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้เป็นที่ตั้งของใจเรา ไม่ว่าเราจะให้ทาน จะรักษาศีลหรือจะเจริญภาวนาก็ตาม ถ้าหากว่าใจของเราหยุดนิ่งอย่างดีแล้ว ทาน ศีลและภาวนานั้นก็จะเป็นทาน เป็นศีลภาวนาที่มีผลอันยิ่งใหญ่ จะส่งผลให้เราอย่างเต็มเปี่ยมไปทุกภพทุกชาติ กระทั่งเราเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นทำใจของเราให้หยุดให้นิ่งอย่างเบาสบาย ใครที่ใจยังไม่สงบ ยังมีความคิดอย่างอื่นเข้ามาแทรกก็ให้ประกอบบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหัง ๆ ไปเรื่อย ๆ จะกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนครั้งก็ช่าง เราภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ
แต่ถ้าหากว่าภาวนาสัมมาอะระหังอย่างเดียวยังไม่พอ ใจยังอดที่จะฟุ้งซ่านไม่ได้ ก็ให้กำหนดบริกรรมนิมิตควบคู่กันไปด้วย จะเอาเป็นดวงแก้วใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ใจของเราจะได้ไม่ซัดส่ายไปที่อื่น แล้วเราก็ทำภาวนาอย่างนี้ไปจนกว่าใจของเราจะหยุดจะนิ่ง จะมีความโล่ง โปร่ง เบา สบาย เข้าถึงแสงสว่างภายใน เข้าถึงดวงธรรมภายใน เข้าถึงกายภายในหรือเข้าถึงสรณะภายใน ถึงพระธรรมกาย เมื่อถึงวาระอันนั้น บุญกุศลที่จะบังเกิดขึ้น จากการถวายผ้าบังสุกุลจีวรแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร ผู้ประพฤติธรรมซึ่งเดินทางไกลมาจากทั่วประเทศ ก็จะมีอานิสงส์ใหญ่อย่างนั้น
อานิสงส์ที่จะได้เกิดขึ้นนั้นก็จะเรียงกันไปตามลำดับ ถ้าเราบริสุทธิ์น้อย ผลก็มีน้อย บริสุทธิ์ปานกลาง ผลที่ได้ก็เพิ่มขึ้น บริสุทธิ์มากจนกระทั่งเข้าถึงสรณะภายในก็มีผลมาก ขึ้นอยู่กับตัวของเรานะจ๊ะ แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้ตั้งอกตั้งใจกันให้ดี เพราะปัจจัย ๔ ที่เราได้มาในวันนี้เนี่ย มันไม่ใช่ได้มาด้วยความง่าย มันได้มาด้วยความยากลำบาก เราะต้องเอาชีวิตของเราเป็นเดิมพัน เอาแรงกายแรงใจของเราเป็นเดิมพัน กว่าจะได้มา มันไม่ใช่ง่ายต้องต่อสู้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้มาแล้วในวันนี้เรามีกุศลศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย อยากจะได้บุญใหญ่ อยากจะสนับสนุนงานพระศาสนา ให้เป็นที่พึ่งต่อชาวโลก จึงได้สละทรัพย์ของเรา ตัดขาดจากใจ ถวายมอบให้วัดพระธรรมกาย ดำเนินการใช้เพื่อกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก เมื่อมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเราจะต้องตั้งใจทำใจให้หยุดให้นิ่งให้ใสให้บริสุทธิ์ โดยไม่กังวลกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าที่เรานั่งตอนนี้จะไม่นุ่มนวลเหมือนอาสนะที่นั่งที่นอนที่บ้านก็ตาม อากาศจะอ้าวในยามบ่าย ไม่เย็นเหมือนในยามเช้าก็ตาม หรือได้รับการต้อนรับการดูแลอย่างไม่เต็มที่ก็ตาม ขออย่าได้คำนึงในสิ่งเหล่านั้น พยายามทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้มากที่สุด ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง แล้วก็ทำใจของเราให้หยุดให้นิ่งให้ได้อยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ใครถนัดแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ให้ใจนิ่งสงบอยู่ภายใน ยิ่งสงบมากนิ่งมาก เราก็จะได้บุญมาก นี่เป็นหลักของการบำเพ็ญมหาทานบารมีนะจ๊ะ ซึ่งเป็นหลักใหญ่ที่สำคัญทีเดียว จะต้องทำให้ได้อย่างนี้ทุกครั้ง ไม่ว่าเราจะทำที่ไหนก็ตามก็ต้องทำกันอย่างนี้
มหาทานบารมีที่เราทำในวันนี้เนี่ย จะส่งผลให้เรามีเสบียง ติดตัวไปในภพเบื้องหน้า การเดินทางไปสู่อายตนะนิพพานนั้น เปรียบก็เหมือนกับเดินทางไกล จำเป็นจะต้องมีเสบียงติดตัวไปเป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย พระอรหันตสาวก พระผู้มีพระภาคเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อจะสร้างบารมีเนี่ย ท่านจะคำนึงถึงมหาทานบารมีก่อนเป็นเบื้องต้นว่า ทานบารมีนั้นจะส่งผลให้ เรามีโภคทรัพย์สมบัติ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกสบาย ให้เราได้สร้างบารมีอย่างอื่นให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งบารมี ๓๐ ทัศนั้นเต็มเปี่ยมแล้วก็จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านเคยเทศน์สอนเอาไว้บ่อย ๆ ว่าทานบารมีนี้อย่าได้ขาด ถ้าเราขาดทานบารมีแล้ว แม้สร้างบารมีอย่างอื่น แต่ถ้าขัดสนเกี่ยวกับเรื่องปัจจัย ๔ แล้ว การสร้างบารมีอย่างอื่นนั้นมันก็ไม่สะดวก ตัวท่านเองได้สร้างทานบารมีมาตั้งแต่บวช เมื่อบวชใหม่ ๆ ออกบิณฑบาต ท่านขาดแคลนเกี่ยวกับเรื่องอาหารหวานคาว ไม่ค่อยมีคนมาใส่บาตร กะท่านมากนัก แต่ท่านก็บำเพ็ญบิณฑบาตอย่างนั้นน่ะไปตามปกติ วันหนึ่งท่านก็ได้ข้าวมาปั้นหนึ่ง กล้วยมาผลหนึ่ง กลับมาแล้วก็ตั้งใจที่จะลงมือขบฉัน ก็เหลือบไปเห็นหมาสุนัขแม่ลูกอ่อน ผอมโซทีเดียว มันมองตาท่าน ท่านก็คิดในใจว่ามันคงหิวเช่นเดียวกับที่เรากำลังหิว ท่านแบ่งปันอาหารที่ได้มาในวันนั้นคนละครึ่ง ข้าวนั้นก็แบ่งให้เหลืออยู่ครึ่งปั้น กล้วยก็แบ่งเหลือครึ่งผล และท่านก็อธิษฐานจิตเอาไว้
ด้วยอานุภาพแห่งทานบารมีในคราวนี้เนี่ยว่า เราก็ถึงที่สุดในความหิว สุนัขแม่ลูกอ่อนก็ถึงที่สุด ที่สุดต่อที่สุดมาเจอกัน บัดนี้เราได้สร้างทานบารมี ขออานุภาพทานบารมีนี้ว่าต่อจากนี้เป็นต้นไปอย่าได้อดอยากยากจน ให้มีเครื่องไทยธรรมมาก ๆ มีมากแล้วเราจะบำรุงเลี้ยงภิกษุสามเณร ไม่ให้ลำบาก จะได้มีเวลาสำหรับที่จะศึกษาธรรมประพฤติธรรมอย่างสะดวกสบาย และด้วยอานุภาพแห่งมหาทานบารมีในคราวนั้น ข้าวครึ่งปั้น กล้วยครึ่งผล ทำให้ท่านสมบูรณ์ไปด้วยเครื่องไทยธรรม ปัจจัย ๔ ได้บำรุงเลี้ยงภิกษุสามเณรถึงวันละ ๕๐๐ รูป หลายสิบปีจนกระทั่งตลอดชีวิตของท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงย้ำบ่อย ๆ ว่าบารมีอะไรก็ทำไปเถอะ แต่อย่าขาดทานบารมี เพราะทานบารมีนี้จะเป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราได้สร้างบารมีอย่างอื่น อย่างสะดวกสบาย และความจริงของชีวิตนะจ๊ะ เรานี่สามารถเลือกเกิดได้ แต่ก็แปลกแม้เรามีโอกาสที่จะเลือกเกิดได้ มักจะไม่ใช้โอกาสนั้นน่ะ สำหรับสร้างทานบารมี เพื่อที่จะได้เลือกเกิดในสถานที่ที่ดี ๆ ที่สะดวกสบาย
ในสมัยพุทธกาลน่ะสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกับพระอานนท์ ซึ่งเป็นปัจฉาสมณะตามเสด็จไป ท่านชี้ให้ดูเด็กขอทานคนหนึ่ง แล้วก็บอกกับพระอานนท์ว่า อานนท์เด็กขอทานที่มีร่างกายอัปลักษณ์ผอมโซหน้าเกลียด เหมือนผีที่ตกลงไปในโคลนอย่างนั้นน่ะ ว่าเด็กคนนี้นี่คือ อานันทะเศรษฐีซึ่งมีสมบัติมาก แต่ว่าเป็นคนตระหนี่ ห้ามบุตรหลานทุกคนน่ะ ห้ามบริจาคทาน ห้ามให้ ให้หวนแหนทรัพย์เอาไว้เนี่ย เพราะกลัวทรัพย์จะหมดไป จะสูญหายไป ความตระหนี่นั้นครอบงำมาตลอดชาติ ครอบงำอานันทะเศรษฐีนั้นมาตลอดชาติ ลูกหลานก็ไม่กล้าจะขัดใจพ่อ เมื่อพ่อบังคับและสอนไม่ให้บริจาคทาน ให้มีความตระหนี่เหนียวแน่น ก็ไม่กล้าทำ ไม่กล้าให้ทาน
อานันทะเศรษฐีน่ะฝังทรัพย์เอาไว้ ๕ แห่ง กลัวว่าจะไม่มีบริโภค กลัวว่าคนอื่นจะมาลักมาขโมย หรือกลัวคนอื่นเค้าจะมาขออย่างนั้นน่ะ มีความตระหนี่เป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดชาติ ทั้งตระหนี่ด้วยตัวเองและก็บังคับให้คนอื่นตระหนี่ แถมสอนให้คนอื่นตระหนี่ด้วย เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งในที่สุดก็ละโลก ละโลกไปแล้วความตระหนี่ที่เข้าไปครอบงำจิตใจเนี่ย หุ้มห่อเห็น จำ คิด รู้อยู่ในกลางกายละเอียดของอานันทะเศรษฐี และก็ดึงดูดมาสู่ในตระกูลของคนจัณฑาล จัณฑาลก็แปลว่าลูกครึ่งที่ยากจน หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาก็ทำให้มารดานี่ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ตามนะ อดอยากยากจนไปด้วย ขนาดยังไม่คลอดอยู่ในครรภ์มารดาเท่านั้นน่ะ ความตระหนี่ยังส่งกระแสนี่ครอบงำไปถึงมารดา ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็อดอยากลำบากมาก
ที่ว่าจนแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนจนในหมู่ยาจกทีเดียว เป็นมหาทุคตะ จนแล้วจนอีก คลอดออกมาไม่ว่าพ่อแม่จะอุ้มพาไปที่ไหนก็ขอทานไม่ได้ กระแสแห่งความตระหนี่เนี่ย ที่อยู่ในกลางกายของลูกที่เกิดมาน่ะ เกิดมาใหม่มีหน้าตาอัปลักษณ์ ผลักดันสมบัติ ผลักดันและปกปิดบดบังความเมตตาของผู้ที่ได้พบเห็น ไม่ให้เกิดความสงสาร เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งพ่อแม่ก็มาปรึกษากันว่ามันเป็นอย่างไร ทำไมแต่ก่อนเราขอทานนั้นน่ะ ยังประสบความสำเร็จ จะผ่านไปทางไหนก็มีคนเมตตาปราณีสงสารรักใคร่เอ็นดู ให้ปัจจัย ๔ มาพอเรายังชีพได้ แต่ตั้งแต่ไอ้ลูกคนนี้เกิดมานี่ทำไมมันไปที่ไหนเนี่ยมันมักจะทุรกันดารนะ อัตคัดตลอดเวลา แต่ก็ยังทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา จนกระทั่งลูกสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้น่ะ ก็บอกกับลูกว่าลูกเอ๊ยเอากระเบื้องอันนี้ไปต่างคนต่างไปเถอะ พ่อกับแม่แม้จะรักลูกแค่ไหนถ้าขืนเอาลูกไปด้วยเนี่ยก็คงจะอดอยากคงเป็นเพราะลูกนี่แหละ
เพราะฉะนั้นให้ลูกนี่ ออกไปเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ลูกก็ต้องจำใจน่ะเมื่อพ่อแม่ตัดขาดแล้ว ก็ตะเกียกตะกายไปแสวงหาทรัพย์เพื่อจะเลี้ยงชีพตัวเอง แต่ไปทางไหนก็ตามก็มักจะไม่ค่อยจะได้เพราะไอ้กระแสแห่งความตระหนี่ที่ซ้อนอยู่ในกลางกายตรงนั้นน่ะ มันส่งกระแสผลักดันสมบัติ แล้วก็ดึงดูดวิบัติเข้าหาตัวตลอดเวลา กระแสแห่งความตระหนี่นี้นะจ๊ะ ถ้ามองไปตรงกลางด้วยธรรมจักขุของธรรมกายนะ เราจะเห็นมันเป็นดวงสีดำ ๆ เค้าเรียกว่ากัณหธรรม ธรรมดำ ครอบงำอยู่ ครอบงำบังคับในเห็น ในจำ ในคิด ในรู้บังคับให้เกิดความหวงแหนทรัพย์ เสียดายทรัพย์ และให้เกิดความโลภบังเกิดขึ้นมันอยู่ในกลางตรงนั้น มันบังคับกันอยู่และก็จะดึงดูดวิบัติเข้ามา แล้วก็ผลักดันสมบัติออกไป มันติดอยู่ตรงนั้น ใครมีความตระหนี่ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ จิตมันบังคับอยู่
เมื่อลูกขอทานน่ะอดีตอานันทะเศรษฐีตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเองไปจนถึงบ้านของตัว เกิดระลึกชาติได้ว่าก่อนที่เราจะมาเป็นอย่างนี้เนี่ย เราเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน เห็นบ้านช่องใหญ่โตทีเดียว เห็นหลานลูกของลูกชายน่ะมาเดินเล่นอยู่ จำเรื่องราวในอดีตของตัวได้เมื่อตัวยังเป็นอานันทะเศรษฐี แม่นยำเหมือนเรื่องเกิดเมื่อวานนี้น่ะ ยังอยู่ในความทรงจำตลอด และสัญญาเก่า ๆ ยังมีความรู้สึกนึกคิด เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่ เป็นอานันทะเศรษฐีอยู่ ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดนะจ๊ะว่าสมบัตินี่มันผลัดกันชม ใครมีบุญก็สามารถที่จะดึงดูดสมบัตินั้นมาได้ ถ้าใครหมดบุญแล้วไม่ได้สร้างบุญใหม่ต่อ ทรัพย์แม้เคยเป็นของตัวมาก่อน ก็ไม่อาจที่จะบริโภคได้ เหมือนอย่างอดีตอานันทะเศรษฐีตอนนี้ เห็นปราสาทราชวังที่ตัวเคยสร้างมาก่อน มันของของตัวแท้ ๆ สร้างมากับมือสมบัติฝังอยู่ก็รู้อยู่เห็นอยู่ จำได้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะบริโภคจะเอามาใช้จ่ายได้ เห็นชัด ๆ มันไม่ใช้ไม่ได้เลย
เพราะไม่มีบุญ ในที่สุดก็เดินเข้าไปในบ้านนั้น หลานของตัวเองแท้ ๆ เห็นแล้วก็ตกใจว่าเด็กขอทานนี่เข้ามาในบ้านหน้าตาอัปลักษณ์ เหมือนผีที่ตกลงไปในโคลนน่ะ คือหน้าเกลียดหน้ากลัวมาก ร้องไห้ไปบอกพ่อ พ่อซึ่งก็เป็นลูกชายของอดีตอานันทะเศรษฐีน่ะ เห็นเข้าก็ไม่รู้จักเพราะว่าอดีตพ่อของตัวมาเกิดอยู่ในยูนิฟอร์มใหม่ เกิดในร่างของลูกคนขอทานแถมอัปลักษณ์อย่างนี้น่ะ ใครจะไปจำได้ เมื่อจำไม่ได้ก็จับโยนออกมาข้างนอกไม่ให้เข้าบ้าน พระพุทธเจ้าพระอานนท์เสด็จไปถึงก็บอกให้ลูกชายของอานันทะเศรษฐี ทราบว่านี่พ่อของตัวนะ อดีตชาตินะ และก็เลยถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า แล้วข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไร ก็บอกว่าเค้าจำที่ฝังสมบัติได้ ในที่สุดก็ไปชี้ที่ฝังสมบัติถูกต้องทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นความตระหนี่ไม่ดีเลย ความตระหนี่จะนำให้เรามาเกิดในตระกูลที่ยาจกยากจนเข็ญใจ เพราะฉะนั้นผู้ที่ทุกข์ยากลำบากเกิดมาชาตินี้น่ะตื่นแต่เช้าก็ทำงานไปจนกระทั่งถึงกลางคืนอย่างนั้นน่ะ ขยันหมั่นเพียรทำไมเราไม่เป็นเศรษฐีซักที ทำไมลำบากอย่างนี้อยู่ตลอดชาติ ก็ให้รู้ไว้นะจ๊ะว่าได้ทำอย่างท่านอานันทะเศรษฐีนั่นแหละ คือมีความตระหนี่เสียดายทรัพย์ไม่สร้างทานบารมี เพราะฉะนั้นเมื่อหมดบุญ ก็ไม่สามารถที่จะรักษาสมบัติอันนั้นได้ กระแสแห่งความตระหนี่ ก็ดึงดูดมาสู่ที่ยากจนที่ลำบากอย่างนี้
คราวนี้เรามามองดูท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนะ ท่านเกิดท่านเป็นยอดอุปัฏฐากเป็นผู้เลิศในฝ่ายอุบาสกที่สนับสนุนงานพระศาสนา ก็หมายความว่าผู้ที่สนับสนุนงานพระศาสนา ที่เป็นฝ่ายผู้ชายอุบาสกแล้วนี่น่ะท่านอยู่ข้างหน้า ถ้าฝ่ายหญิงก็ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา ว่าในจำนวนฝ่ายหญิงทั้งหมด ที่สนับสนุนงานพระศาสนา มหาอุบาสิกาวิสาขาได้สร้างมหาทานบารมี สนับสนุนอย่างมาก มากกว่าคนอื่นจึงมาอยู่ข้างหน้า ให้พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญท่ามกลางพระอริยสาวก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนี่ ท่านเป็นลูกของสุมนเศรษฐีก็หมายความว่าเวลาท่านลงมาเกิดเนี่ยเข้าไปในครรภ์ของบิดามารดาที่เป็นเศรษฐีใหญ่ทีเดียว คือเกิดมาก็มีทรัพย์สมบัติรองรับเอาไว้ สําหรับสร้างบารมีต่อไป ภพในอดีตของท่าน ท่านก็เป็นคนธรรมดาอย่างพวกเราอย่างนี้แหละ ทำมาหากินเป็นปกติแต่ท่านมีบุญลาภ คือวันหนึ่งในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าพระปทุมมุตตระ ในสมัยนั้นชมพูทวีปหรือโลกใบนี้เนี่ย มนุษย์มีศีล ๕ เป็นปกติ พระปทุมมุตตระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก มีพระสาวกมาก พระอริยสาวกมากมายทีเดียว ประชุมมาฆบูชามหาสมาคมครั้งหนึ่ง ก็เป็นล้านองค์ทีเดียว
ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราพระองค์นี้ มีพันสองร้อยห้าสิบรูป วันนั้นพระองค์ตรัสสรรเสริญอุบาสกท่านหนึ่งว่าเป็นผู้เลิศในการบริจาคทานสนับสนุนงานพระศาสนาให้เป็นที่ปรากฏแก่พุทธบริษัททั้ง ๔ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านนี้ ท่านก็เป็นคนธรรมดาได้ยินได้ฟังเข้าก็เกิดปีติเกิดความเลื่อมใส เพราะท่านสร้างบารมีมาในทางสายนี้น่ะ จะเป็นฝ่ายกองเสบียงสนับสนุนงานพระศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญพระอริยสาวกท่านใดเป็นผู้เลิศทางไหนก็ตาม ท่านก็ยังเฉย ๆ แต่พอได้กล่าวสรรเสริญอุบาสกที่เป็นผู้เลิศในมหาทานบารมีสนับสนุนงานพระศาสนา ท่านนี้เกิดปีติทีเดียว ขนลุกชูชันและก็มีความตั้งใจปรารถนาอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ท่านก็ได้รวบรวมทรัพย์ของตัวและก็ชักชวนผู้อื่นด้วยสร้างมหาทานบารมีถวายสังฆทานโดยมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระปทุมุตรเป็นประธาน และก็มีพระอริยสาวกจำนวนมากนั้น ๗ วันตลอดไม่ได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว
แล้วก็ตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า ขออานุภาพแห่งบุญที่เกิดขึ้นจากการสร้างมหาทานบารมี ๗ วันนี้ ขอให้ได้เป็นผู้เลิศในฝ่ายอุบาสกผู้สนับสนุนงานพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับท่านอุบาสกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระปทุมุตร ได้ทรงสรรเสริญท่ามกลางพุทธบริษัททั้ง ๔ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นท่านสอดญาณดูว่า ที่สุดแห่งกำลังบุญของบุรุษผู้นี้ อุบาสกท่านนี้จะไปส่งผลให้ความปรารถนานั้นสำเร็จได้เมื่อไหร่ เมื่อท่านพบถึงที่สุดภาพนั้นแล้วน่ะก็ได้กล่าวกับอุบาสกท่านนั้นเพื่อยังความปีติปราโมทย์ใจให้บังเกิดขึ้น ว่าต่อไปในอนาคตเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะพระสมณโคดมมาตรัสรู้ต่อไปในอนาคต จะได้เกิดในตระกูลเศรษฐี มีสมบัติรองรับเอาไว้ให้ได้สร้างบารมี ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้ อุบาสกท่านนั้นได้ฟังก็เกิดปีติปราโมทย์ใจ ได้สั่งสมทานบารมียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งหมดอายุขัย ท่องเที่ยวอยู่ ๒ ภูมิคือมนุษย์โลกและก็เทวโลก เกิดมาเป็นมนุษย์ ละโลกจากมนุษย์ก็ไปเป็นเทวดาเป็นชาวสวรรค์ วนเวียนอยู่อย่างนี้
จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราพระองค์นี้ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้มาบังเกิดขึ้นในสกุลของสุมนเศรษฐีมาอยู่ในยูนิฟอร์มในรูปกายของลูกเศรษฐี ได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดและได้ชื่อว่าสุทัตตะเศรษฐี เหตุที่ได้ชื่อว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพราะว่ามีใจยินดีในการบริจาคทาน อยากจะได้ยินเสียงผู้คนอนาถาที่ยากจนส่งเสียงอึกทึกยามเมื่อท่านได้แจกจ่ายข้าวปลาอาหารที่ตั้งโรงทานเอาไว้น่ะ ท่านยินดีอย่างนั้น เมื่อได้ยินแล้วก็ใจก็ปลื้มปิติ เศรษฐีสมัยก่อนเค้าแข่งกันสร้างโรงทานกัน ใครทำโรงทานเป็นที่แจกจ่ายปัจจัย ๔ ให้เกิดขึ้นแก่คนยากคนจนได้มาก คนนั้นก็จะได้รับการยกย่องและก็ปีติยินดีทุกครั้งที่ทำ สุทัตตะเศรษฐีทำอย่างนั้นแหละตลอดมาน่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งบุญบันดาลน่ะ ท่านมาเมืองราชคฤห์ได้ยินราชคฤห์เศรษฐีซึ่งท่านเป็นน้องเขย คือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นน้องเขยของราชคฤห์ เศรษฐีเกิดในตระกูลเศรษฐีด้วยแต่งงานกะเศรษฐี
เพราะฉะนั้นพวกพร้องก็เป็นเศรษฐี คุยกันแต่เรื่องทรัพย์ ไม่ได้คุยกันเรื่องอื่นเลย ราชคฤห์เศรษฐีมีบุญได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน ได้ฟังธรรมได้เกิดกุศลศรัทธาบริจาคทานถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสาวกตลอดมา วันนั้นก็ได้ออกไปต้อนรับพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสาวกได้สั่งให้ข้าราชบริพารเตรียมวัตถุทานต่าง ๆ เพื่อที่จะถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับสุทัตตะเศรษฐีว่า แต่ก่อนนี้เวลาเรามาเนี่ย เราจะได้รับการต้อนรับจากราชคฤห์เศรษฐีนี่อยู่ตลอดเวลาทุกครั้งไป แต่คราวนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ในที่สุดเมื่อได้โอกาสก็ถามท่านราชคฤห์เศรษฐีว่า วันนี้ทำไมถึงไม่ทำอย่างแต่ก่อนโน้น วันนี้พระราชาเสด็จมาหรือ หรือใครมาถึงจะต้องไปต้อนรับ สั่งข้าราชบริพารต้อนรับอย่างดีเยี่ยม เตรียมอาหารหวานคาวที่ประณีตไปคอยต้อนรับอย่างนั้นหรือ ราชคฤห์เศรษฐีก็บอกว่าไม่ใช่หรอก ผู้ที่เสด็จมาในวันนี้ เป็นผู้ที่อุดมไปด้วยสิริคือพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านเสด็จมาในวันนี้
สุทัตตะเศรษฐีได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเนี่ย ก็เกิดปีติขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะในใจตลอดเวลานั้นน่ะ อยากจะเจอพระผู้มีพระภาคเจ้า คิดอยู่ในใจว่าอยากจะเจอผู้บริสุทธิ์ ผู้หลุดพ้นแล้ว ที่จะแสดงธรรมให้เราได้รู้เห็นตามบ้างอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีใครมาส่งข่าว เมื่อราชคฤห์เศรษฐีได้พูดว่าบัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว ท่านสุทัตตะเศรษฐีต้องถามถึง ๓ ครั้ง ราชคฤห์เศรษฐีก็ตอบทั้ง ๓ ครั้ง ว่าบัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว สุทัตตะเศรษฐีปีติยินดีมาก อยากจะเจอพระผู้มีพระภาคเจ้าในตอนนั้น ซึ่งเป็นเวลากลางคืนพอดี ตัวท่านก็พยายามเร่งเวลา เพื่อจะให้ถึงแต่เช้า คืนนั้นนะไม่ได้หลับเลยเนี่ย คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ได้ นอนไม่หลับทั้งคืน ใจจรดจ่อจนกระทั่งทนไม่ไหว ค่อนรุ่งก็ลุกจากที่ เพื่อจะเดินไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ระหว่างนั้นอมนุษย์ก็เปิดทางให้ เปิดประตูให้ สุทัตตะเศรษฐีก็เดินไป ความมืดก็ปรากฏเกิดขึ้น เศรษฐีไม่เคยไปไหนตามลำพัง
ปกติจะมีข้าราชบริพารตามไปห้อมล้อมตลอด แต่คราวนี้ไปตามลำพัง ตกอยู่ในความมืดก็เกิดสะพรึงกลัวครั่นคร้าม แต่ด้วยความตั้งใจมั่น อมนุษย์อีกท่านหนึ่งก็ปรากฏเสียงเปล่งเสียง แต่ไม่ปรากฏตัว สนับสนุนว่าให้เดินทางต่อไปเถิด ในการพบพระผู้มีพระภาคเจ้าในคราวนี้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เราจะมีช้างซักหนึ่งแสน มีม้าซักหนึ่งแสน มีเทพต่าง ๆ ผู้มีรูปงามซักหนึ่งแสงคน อย่างละแสนอย่างนี้นี่ แม้เรามีอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เท่ากับการได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วแสงสว่างก็ปรากฏพอให้สุทัตตะเศรษฐีเดินทางไปได้ เป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๓ คราวทีเดียวคือความสะพรึงกลัวเกิดขึ้น เมื่อความมืดปรากฏ และก็ความสว่างเกิดขึ้น เมื่อมีเสียงของอมนุษย์ผู้มีบุญนั่นน่ะได้แนะนำเป็นกัลยาณมิตรให้กับสุทัตตะเศรษฐีอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ สอดพระญาณดูในยามรุ่งว่าบุคคลใดจะเป็นผู้มีบุญในวันนี้ที่จะรองรับพระธรรมของพระองค์ สอดญาณลงไปในกลางก็พบสุทัตตะเศรษฐี มองดูตลอดก็เห็นว่าสุทัตตะเศรษฐีนี้จะเป็นอุปัฏฐากที่สําคัญของเรา จะเป็นผู้เลิศทางฝ่ายอุบาสก กำลังเดินทางมา เราจะต้องไปรับ ในที่สุดพระองค์ก็ออกไปเดินจงกรมไปดักรอเอาไว้ เมื่อสุทัตตะเศรษฐีกำลังรำพึงถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ พระองค์ก็ตรัสเรียกว่าสุทัตตะเราอยู่ที่ตรงนี้ สุทัตตะเราอยู่ตรงนี้ สุทัตตะเราอยู่ตรงนี้ มาหาเราเถอะ สุทัตตะเศรษฐีกำลังนึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็น แต่เมื่อมาได้ยินคนที่ไม่เคยรู้จักกันก่อนเลยนี่เรียกชื่อถามรู้ความในใจว่าเราอยู่ตรงนี้ เพราะคำว่าเราคือความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจของสุทัตตะเศรษฐีว่ากำลังจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มั่นใจว่านี่คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เกิดปีติขนลุกชูชันทีเดียว ในที่สุดก็เข้าเฝ้าฟังธรรมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้บรรลุธรรมนั้น เกิดกุศลศรัทธาขึ้นมาจึงเป็นกำลังพระศาสนาให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นคนเรานี้เลือกเกิดได้นะจ๊ะ โอกาสที่เราจะเลือกเกิดนี้มีอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่ว่าเราจะใช้โอกาสนั้นหรือไม่ ถ้าเราไม่ใช้โอกาสนั้น เวลาเรามาเกิดมานะ เป็นผู้ที่มีฐานะยากจนเราจะได้ยินแต่ถ้อยคำที่ปลอบใจเราว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ และก็ให้กำลังใจต่อ แต่เราเลือกเป็นได้ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เราได้ยินได้ฟังในสิ่งเหล่านี้เนี่ย ขณะนี้เรามีโอกาสเลือกเกิดได้นะจ๊ะ เมื่อขณะสมัยมาถึง ทักขิไณยบุคคลมีอยู่ พระพุทธศาสนามีอยู่ พระรัตนตรัยมีอยู่ เราซึ่งเป็นทายกทายิกามีความพร้อมมีวัตถุทาน มีศรัทธา จึงทำในตอนนี้ แล้วเราจะเลือกเกิดได้ ถ้าอยากเกิดเช่นเดียวกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีหรือมหาอุบาสิกาวิสาขา ซึ่งท่านลงมาเกิดในตระกูลเศรษฐีเลย จงบริจาคทานซะเถิด และเมื่อสร้างมหาทานบารมี ก็ควรจะทำกันอย่างเต็มที่
แต่ถ้าจะเลือกเกิดแบบอดีตอานันทะเศรษฐีไปเป็นขอทานในหมู่ยาจก คนยากจนในหมู่ยาจกเป็นมหาทุคตะ ก็ให้มีความตระหนี่ให้หวงแหนซะเถิด หวงแหนทรัพย์ด้วยตัวเอง ชักชวนคนอื่นให้หวงแหนตามไปด้วยแล้วเราจะสมความปรารถนาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในฐานะที่พวกเราทั้งหลายเป็นผู้มีสติมีปัญญานะ ก็ควรจะพิจารณาว่าเราจะเลือกเกิดเป็นอะไรนะจ๊ะ ต่อจากนี้ไปให้ทุกท่านน่ะตั้งใจให้ดี ทำใจให้หยุด ทำใจให้นิ่ง ทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ให้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล ให้ตั้งใจกันให้ดีทุก ๆ คนนะจ๊ะ กระแสธารแห่งบุญจะได้บังเกิดขึ้นนำชีวิตเราไปสู่เส้นทางมหาเศรษฐีผู้ใจบุญไปทุกภพทุกชาติกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปให้ต่างคนต่างทํากันไปเงียบ ๆ จนกว่าจะถึงวาระอันควรนะจ๊ะทุก ๆ คน
ให้ทุกท่านตั้งใจเอาบุญกันให้เต็มที่ เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หยุดให้สนิทเลยนะจ๊ะ ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปจะได้นึกถึงบุญ อธิษฐานจิตอำนวยพรให้ทุกท่านประสบความเจริญรุ่งเรือง ให้เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทุก ๆ คน อย่าพูดอย่าคุยกันนะจ๊ะตอนนี้ตั้งใจให้ดี เพราะบัดนี้เราได้ถวายเครื่องไทยธรรมขาดออกจากใจแล้ว เครื่องไทยธรรมเหล่านี้เป็นของปฏิคาหก เพราะฉะนั้นกระแสธารแห่งบุญญาภิสันธาร กระแสทานแห่งบุญจะไหลจากที่สุดแห่งบุญนั้นมาจรดที่ศูนย์กลางกายของเรา ขจัดสิ่งที่เป็นบาปเป็นอกุศลเป็นมลทินที่จะขัดขวางความสุขความเจริญรุ่งเรืองของเราให้หมดไป
เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องเอาใจของเราหยุดให้ดี จนกระทั่งกระแสใจเราไปเชื่อมกับกระแสบุญที่มาจากที่สุดแห่งธรรม ซึ่งจะผ่านจากกลางกายของทุก ๆ กาย มาถึงกลางกายฐานที่ ๗ ของเรา ขจัดความตระหนี่ ความโลภ ความไม่บริสุทธิ์ อุปสรรคของชีวิตที่จะทำให้ชีวิตเราตกต่ำน่ะให้มันหมดสิ้นไป เป็นดวงบุญที่มีความสว่างโพรงอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องตั้งใจให้ดี บัดนี้พระภิกษุทุกรูปจะได้พร้อมใจกันอาราธนาบุญบารมี รัศมีกำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน บารมีธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย
บารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายบารมีของคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และมหาทานบารมีที่พวกเราทุกท่านได้ทำในวันนี้ จงมารวมอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้เป็นดวงบุญที่มีความสว่างโพลงประดุจดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ให้ดวงบุญนี้มีอานุภาพดึงดูดสมบัติทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ มาไว้ใช้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น ให้ทุกท่านเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้มีสมบัติมากประดุจท่านโชติกเศรษฐีและท่านเมณฑกเศรษฐี ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญค้ำจุนพระพุทธศาสนา ประดุจท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและมหาอุบาสิกาวิสาขา ให้แทงตลอดในวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
ธรรมอันใดที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญได้บรรลุ ขอให้พวกเราทุกท่านได้บรรลุธรรมนั้น ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง อย่าเจ็บ อย่าป่วยอย่าไข้ ให้มีอายุขัยยืนยาวได้สร้างบารมีไปนาน ๆ ให้เป็นที่รักของมนุษย์ของเทวดาทั้งหลาย อัคคีภัย โจรภัย ราชภัย ภัยทุกชนิดอย่าได้มากล้ำกราย ให้พบปะแต่บัณฑิตนักปราชญ์ จะประกอบธุรกิจการงานอันใดก็ให้ประสบความสำเร็จเป็นอัศจรรย์ จะนึกคิดในสิ่งไรซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงาม ขอความปรารถนานั้นจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จงทุกประการเทอญ