กลั่นใจ
๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
ต่อจากนี้ ให้ทุกท่านตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันนะจ๊ะ ท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอ ก็ให้ลงมือปฏิบัติธรรมได้เลย ส่วนท่านที่มาใหม่ให้นึกน้อมใจตามเสียงหลวงพ่อไปกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาส โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายวางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกนัยน์ตาหลับตาพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับกันนะจ๊ะทุกๆ คน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนว่าเลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ขยับตัวกันให้ดีกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ ของใครของมันปรับให้อยู่ในอริยาบถที่สบาย ถ้าใครนั่งขัดสมาส ๒ ชั้นไม่ถนัด จะนั่งขัดสมาสชั้นเดียวก็ได้นะจ๊ะ
แต่ต้องศึกษาวิธีการนั่งที่ถูกต้องให้ได้เสียก่อน เพราะท่านั่งท่านี้เป็นท่าที่ถอดแบบออกมาจากพระธรรมกายในตัว ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านเข้าถึงค้นพบแล้วนำมาเผยแผ่สั่งสอนกันต่อมา เอาไว้เป็นเนติแบบแผน สำหรับการนั่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มต้นในท่านั่งที่ถูกต้องเสียก่อน แต่ถ้าหากว่าเมื่อยจะเปลี่ยนเป็นขัดสมาสชั้นเดียวได้นะจ๊ะ ตั้งกายของเราให้ตรงพอประมาณพอสบาย ๆ กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย จะได้มีความรู้สึกว่าร่างกายที่เรานั่งนะมั่นคง พอเหมาะพอสม พอดี ที่จะเป็นฐานรองรับความละเอียดของใจเรา ถ้านั่งถูกต้องแล้วมันจะไม่ค่อยเมื่อย นั่งไปได้นาน ๆ เพราะฉะนั้นปรับร่างกายของเราให้ดีกันนะจ๊ะ
วิธีการที่จะทำใจของเรา ให้กายวาจาใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะได้เป็นภาชนะรองรับบุญนั้น วิธีที่ลัดที่สุด ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากและถูกตัวจริง ถูกตามคำสอนของพระบรมศาสดา ก็คือการทำใจให้หยุด ใจที่ซัดส่ายไปมา คิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ เรื่องคน เรื่องสัตว์ สิ่งของ เรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัวเรื่องธุรกิจการงาน เรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้วก็ดี สิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคตก็ดี ต้องหยุดความคิดเหล่านั้น ให้ใจหลุดพ้นจากความคิดเหล่านั้นนะ นิ่งอยู่ที่จุดตรงตำแหน่งที่เป็นที่เสด็จไปสู่อายตนนิพพานของ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายของผู้รู้ทั้งหลาย จะต้องเอาใจของเรามาหยุดอยู่ตรงนี้แหละ หยุดให้ถูกส่วนที่เดียว
ถ้าหยุดได้ถูกส่วนแล้วไม่ช้า เราก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์เบื้องต้น ความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่เรามีความรู้สึกว่า ใจเราเกลี้ยงเกลี้ยงเกลาจากเครื่องปรุงแต่งทั้งหลาย รู้สึกว่าสะอาดจนสัมผัสความสะอาดความบริสุทธิ์นั้นได้ สัมผัสได้ด้วยใจและแถมยังเห็นเสียอีกว่า ความบริสุทธิ์เบื้องต้นของใจที่บริสุทธิ์จริง ๆ นั้นมันเป็นอย่างไร มันจะมีลักษณะเป็นดวงใส ๆ ใสบริสุทธิ์ทีเดียวถ้าใจเราบริสุทธิ์ในเบื้องต้นนะจ๊ะ มันจะใสบริสุทธิ์เป็นดวงกลม ๆ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันหรือใหญ่กว่านั้น จะปรากฏเกิดขึ้นตรงที่ใจหยุด หยุดที่ถูกส่วนถูกต้อง ตรงกึ่งกลางกายของเราพอดี อยู่ในกลางกายเราเลย
สมมติเราเอาเส้นด้าย ๒ เส้น ขึงจากสะดือ ทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากข้างขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละเป็นที่ที่เราจะต้องเอาใจมาหยุดนิ่ง ตั้งมั่นอย่างเบาสบาย หยุดตรงนี้ แล้วความบริสุทธิ์เบื้องต้นก็จะเกิดขึ้นอยู่ที่ตรงนี้ เหนือตำแหน่งของจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมือ จะเป็นดวงใส ๆ อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เหมือนดวงดาวดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์นั่นแหละ จะสุกสว่างอยู่ในกลางกายนั่นแหละคือความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น ซึ่งเมื่อเราเข้าถึงแล้ว เราจะมีความรู้สึกว่าใจเราเกลี้ยง เกลี้ยงจนกระทั่งเรารู้สึกอัศจรรย์ทีเดียว ว่าใจเนี่ยะ เราไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน มันเกลี้ยง มันมีความบริสุทธิ์สะอาด มีความสงบ มีความใส มีความสว่าง นี่แหละคือจุดเบื้องต้นนะจ๊ะ จุดเบื้องต้นแห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งจะเป็นประดุจภาชนะที่รองรับบุญใหญ่ ถ้าใครได้อย่างนี้นะจ๊ะ ได้ความบริสุทธิ์ในเบื้องต้นอย่างนี้เนี้ยะ ทำน้อยได้ผลมาก ทํามากยิ่งมากขึ้นเป็นทับทวีทีเดียว
เพราะฉะนั้นหลักของการที่จะได้บุญมากหรือน้อย ถ้าได้ตรงนี้แล้วละก้อ ทำน้อยได้ผลมาก ทำมากได้ผลมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากเราทำให้ระดับที่ใจเรายังฟุ้งซ่าน ยังขุ่นมัววิตกกังวล หดหู่ใจ ง่วงหงาวหาวนอน สงสัยลังเล อะไรต่าง ๆ เคลือบแคลงใจไม่ใสอย่างเนี้ยะ บุญเราก็จะได้ไม่เต็มที่ เหมือนเอาชะลอมใหญ่ ๆ ที่มีรูรั่วตักน้ำเวลาอยู่ในน้ำก็ดูเยอะ ยกขึ้นมาเหลือนิดเดียว เพราะฉะนั้นเราจะต้องอุดรูรั่วทั้งหมด ด้วยการทำใจให้นิ่งตรงนี้แหละ หยุดกับนิ่ง พอถูกส่วนก็เข้าถึงความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น และยิ่งถ้าหากเราบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นนะจ๊ะ ภาชนะที่จะรองรับบุญที่จะเกิดขึ้นจากการบูชาข้าวพระ จากการทอดกฐินสามัคคีหรือจากการจะทำบุญอะไรก็ตาม ก็มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นว่าใจเราหยุดนิ่งในกลางความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่เห็นสุกใสสว่าง เหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เมื่อเราหยุดนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวดวงนั้นก็ขยายกว้างออกไป ขยายออกไปเองเลย ขยายกว้าง ทีนี้เราก็เข้าถึงดวงธรรม ดวงต่าง ๆ ที่ผุดซ้อนกันอยู่ ซ้อนกันอยู่ภายใน ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ นะจ๊ะ มันจะมีความบริสุทธิ์ที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไป
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่ากลั่นใจน่ะ เหมือนเรากลั่นน้ำอย่างนั้น แต่นี้เป็นน้ำใจ ยิ่งกลั่นด้วยการหยุดนิ่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งสุกใสสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็พบดวงธรรมต่าง ๆ มันจะเป็นชุด ชุดละ ๖ ดวงธรรม เป็นชุดชุด ชุด ชุด ชุด เข้าไปเรื่อยเลย ทีละดวง ทีละดวง ที่เรียกว่าดวงเพราะว่ามันกลม มันไม่รี มันไม่ยาว ไม่เป็นเหลี่ยมกลม ๆ เหมือนดวงแก้วอย่างนี้แหละ อย่างที่เราเห็นดวงแก้ว ดวงแก้วกายสิทธิ์ที่กลมรอบตัว เพราะกลมจึงเรียกว่าดวง ดวงกลม กลม กลมดิ๊กเลย เป็นชั้น ๆ ๆ ละเอียดเข้าไป ๖ ดวงก็เข้าถึงกายธรรม สุดดวงที่ ๖ ก็ได้เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายของตัวเรา ลักษณะหน้าตาเหมือนตัวเราไม่มีผิดเลย ต่างแต่ว่างามกว่างามกว่ายังไง ดูแล้วมันนุ่มนวล เกลี้ยงเกลาสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส เห็นแล้วเราจำได้ แต่ว่าแปลกตา เนื่องจากแตกต่างจากที่เราเคยเจอในกระจกทุกวัน นั่งขัดสมาธินิ่งอยู่ภายใน นั่นล่ะกายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน
ยิ่งถ้าหากเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดอย่างนี้นะจ๊ะ เวลาทำบุญนี้ ทำน้อยได้มาก มาก มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เลย ใจก็จะยิ่งเป็นสุข จะยิ่งบริสุทธิ์ใส ยิ่งหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ ก็จะพบดวงธรรมทีละ ๖ ดวง เป็นชุด ๆ เข้าไป แล้วก็เข้าถึงกายทิพย์ ถึงกายรูปพรหม ถึงกายอรูปพรหม กระทั่งถึงกายธรรม มีเป็นชั้น ๆ เข้าไป แต่ละกายลักษณะก็ไม่เหมือนกัน จะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับกายมนุษย์ คือกายมนุษย์ละเอียด แต่ว่าถึงกายทิพย์แล้ว แตกต่าง แตกต่างจากตัวของเราเลยโดยสิ้นเชิงทีเดียว เป็นกายที่แปลก ที่มีเครื่องประดับติดกับตัว เนื้อตัวเกลี้ยง กลมกลึง กลมกลึงทีเดียว ไม่มีข้อไม่มีปมกายทิพย์ กายพรหมยิ่งสวยใหญ่ กายอรูปพรหมก็ยิ่งสวยยิ่งขึ้น เนี้ยะมันซ้อนกันอยู่ภายใน ที่ใช้คำว่าซ้อนกันก็เพราะว่ามันซ้อนกัน เป็นความละเอียดที่ซ้อนอยู่ในกลางความหยาบ เป็นชั้น ๆ เข้าไป กายพรหม กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมซ้อนกันอยู่ กระทั่งถึงกายธรรมซ้อนกันนะจ๊ะ ซ้อนกันเข้าไปข้างเนี้ยะ เข้าไปข้างในในกลางเข้าไปเรื่อย ๆ เลย
กายธรรมนี่คือเป้าหมายที่เราจะเข้าถึง เพราะเป็นกายที่แตกต่างจากกายอื่น ทั้งรูปร่างลักษณะ ทั้งญาณทัศนะ ทั้งกำลังบุญบารมี ทั้งความบริสุทธิ์ กายที่แตกต่างคือมีเกตุดอกบัวตูม กายธรรม ลักษณะงามมาก ที่เราได้ยินว่าลักษณะมหาบุรุษ นั่นแหละอยู่ในกายธรรมทั้งหมดเลย เกตุดอกบัวตูม ดูเผิน ๆ คล้าย ๆ กับพระพุทธรูปแต่พระพุทธรูปที่กำลังเห็นอยู่ทั่ว ๆ ไปนั่นน่ะเขาสร้าง เขาสร้างผสมกัน คือเอาความรู้ว่ามีพระธรรมกายอยู่ในตัว ผสมกับจินตนาการที่ตัวยังเข้าไม่ถึง ดังนั้นพระพุทธรูปที่เห็นซึ่งเป็นตัวแทนของพระธรรมกาย ญี่ปุ่นก็สร้างเหมือนญี่ปุ่น อินเดียสร้างเหมือนอินเดีย ไทยเหมือนไทย เขมร ลาว จีน พม่า สร้างแตกต่างกันไป ในที่สุดก็เอาชาตินิยมเข้ามาผสมกันไป ว่าพระพุทธเจ้าต้องหน้าตาเหมือนชาติของตัว เพราะยังเข้าไม่ถึง ก็ผสมจินตนาการ
แต่มีความเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้านั้นอยู่ภายในตัว ยุคแรก ๆ ก็เป็นเกตุดอกบัวตูม ต่อมาก็เพี้ยนเป็นเปลวเพลิง และก็ใช้คำว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งดวงปัญญาที่สว่างโพลง แต่จริง ๆ แล้วธรรมกายในตัวนะจ๊ะ ท่านเป็นลักษณะสากล ไม่เหมือนชาติไหนเลยในโลก เหมือนรวมเอาความดีของทุกชาติมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งความสวย ความงามความสง่า ดวงปัญญา พร้อมไปหมด มีอยู่ในตัว ของเรา ถ้าฝรั่งนั่งเข้าถึงธรรมกายก็จะเป็นเหมือนเราซึ่งเป็นคนไทย ที่เข้าถึงธรรมกาย จะจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ลาว เขมร พม่า ถ้าหยุดนิ่งถอดกายออกเป็นชั้น ๆ เข้าไป ก็จะเห็นธรรมกายเหมือนกันหมดเลย หน้าตาเหมือนเหมือนเป็นพิมพ์เดียวกันไปเลย ปั๊มเดียวกันไปหมดเลย เป็นธรรมกาย
ลักษณะที่สวยงาม สวยงามจะเทียบกับอะไร มันก็ต้องมีเครื่องเปรียบเทียบถึงจะนึกออก ก็ต้องเทียบกับกายอรูปพรหมซึ่งใกล้กัน เทียบกับกายพรหม เทียบกับกายทิพย์ เทียบกับกายมนุษย์ละเอียดของเรา หรือเทียบกับกายมนุษย์หยาบของเรา เราจะเห็นว่าถ้าให้เลือกแล้วเราก็จะเลือกกายธรรมเพราะสวยงามกว่ากลมกลึง เหมือนเอาลูกโป่งเป่า กลม ไปหมดเลย กลมกลึงนะจ๊ะไม่ใช่กลม ๆ ไม่ใช่ท้วม ๆ กลม ๆ อูม ๆ อะไร ไม่ใช่อย่างนั้นนะ กลมหลวงพ่อกำลังจะถอดมา อีกไม่ช้าคงจะได้เห็น กำลังจะถอดมาอยู่แล้ว ธรรมกายเจดีย์สำเร็จเมื่อไหร่องค์นั้นขึ้นแหละ จะขึ้นตอนนั้นแหละ กำลังจะได้เรื่องได้ราวทีเดียว ให้รู้จักธรรมกายอย่างนี้นะ คล้าย ๆ อย่างนี้ ถึงไม่เหมือน ๑๐๐% ก็ใกล้เคียงทีเดียว เป็นลักษณะที่สวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา เป็นผู้รู้ รู้จักของจริง ๆ รู้ของจริง รู้ของปลอม ที่ใช้คำว่ารู้เห็นไปตามความเป็นจริง ที่ได้เป็นผู้รู้
ส่วนมนุษย์ก็ดี เทวดา พรหม หรืออรูปพรหมรู้ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ค่อยจะเจอของจริงกัน แต่เราถึงธรรมกายแล้วญาณทัศนะของท่านครอบหมดเลย เกินกว่ามนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม แทงตลอดหมดในภพทั้งสาม ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ แทงตลอดหมดเลย ๓๑ ภูมิเนี้ยะ ตลอดหมด รูปพรหมมีกี่ชั้น อรูปพรหมชั้น สวรรค์ชั้น สุคติภูมิมีเท่าไหร่ อบายภูมิมีเท่าไหร่ นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ครอบคลุมหมด ญาณทัศนะครอบคลุมไปหมดเลย เพราะฉะนั้นท่านเป็นผู้รู้ รู้ตั้งแต่ว่าอันไหนไม่ใช่ของจริง ท่านก็สอนเลยนะจ๊ะ พอเข้าถึงกายธรรมว่าสิ่งนี้ สังขารทั้งปวง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์นะไม่ใช่สุข เป็นอนิจจังไม่เที่ยงนะ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเราที่แท้จริง ตัวเราแต่ไม่ใช่ตัวของเรา ภรรยาเราจดทะเบียนกันถูกต้อง แต่ไม่ใช่ภรรยาของเรา ลูกเราแต่ก็ไม่ใช่ลูกของเรา สมบัติเราแต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเรา ฟังดูแปร่ง ๆ หูนะจ๊ะ ถ้ามันเป็นของเรา เราต้องบังคับได้ ต้องอยู่ในโอวาทเรา เป็นไปตามสิ่งที่เราปรารถนาทุกอย่างเลย แต่ทีนี้บางครั้งมันก็ได้ แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้ มันได้เป็นที่ ๆ ส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นตัวเราไม่อยากให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย แต่มันก็ไม่เชื่อเราเลย มันก็ยังแก่ ยังเจ็บ ยังตาย เพราะฉะนั้นมันตัวเราแต่ไม่ใช่ตัวของเรา นั่นละอนัตตาล่ะ ท่านสอนเอาไว้ สอนอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อจะได้มองกลับไปอีกด้านหนึ่ง แล้วอะไรล่ะเป็นตัวของเรา ที่เป็นสุขที่คงที่ เป็นอมตะ ภาษาพระเรียกว่าที่เป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา นั่นมันอะไรล่ะ มันอยู่ที่ตรงไหน ในเมื่อสอนว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอันนั่นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ แล้วอะไรที่ใช่ สิ่งที่ใช่ก็คือธรรมกายนี่แหละ เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา แล้วจะรู้ได้อย่างไร เข้าถึงซิจ๊ะ เข้าถึงเมื่อไหร่ นั่นเราก็ถึงจะรู้ อ้อ ตั้งแต่ธรรมกายนี้เป็นต้นไป นี่เป็นนิจจัง นี่เป็นสุขขัง นี่เป็นอัตตาเป็นตัวตนของเราทีเดียว คงที่ มีสุขล้วน ๆ เลย ไม่มีทุกข์เลย นี่ที่พูดถึงอย่างนี้เพื่อจะให้รู้จักว่าธรรมกายเป็นอย่างไร เป็นผู้รู้ ตื่นแล้วจากการหลับไหลด้วยกิเลส ตื่นจากกิเลส กิเลสทำให้เราเหมือนฝัน เหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน มันงัวเงียอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่เป็นจริงเป็นจังอะไร เจอกันชั่วคราวเท่านั้นเอง ของชั่วคราวไม่ใช่ของจริงจัง
เพราะฉะนั้นก็จะตื่น เป็นผู้ตื่น ตื่นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่บริสุทธิ์ ที่หลุดพ้นจากกิเลส อาสวะที่ครอบงำอยู่แล้วในที่สุด ก็กลายเป็นผู้ที่มีความเบิกบานเป็นปกติ คล้าย ๆ อาการขยายของดอกไม้ที่บานในยามเข้าดอกบัวเมื่อได้รับแสงอาทิตย์ก็เบ่งบาน ขยายออกไปอย่างนั้นดูสวยงามทีเดียวใจก็ดี ที่ถูกครอบงำด้วยกิเลส เหมือนอยู่ในที่แคบ เมื่อหลุดพ้นแล้วก็ออกมาสู่ที่กว้าง ใจก็จะขยายออกไปเรื่อย ๆ ขยายกว้างออกไปไม่มีขอบเขต เป็นอิสระที่แท้จริง บางคนมีความปรารถนาอยากจะมีความเป็นอิสระกัน อยู่บ้านก็อึดอัด ถูกคนนั้นคนนี้บังคับ อยู่ที่ทำงานก็อึดอัด อยากจะไปที่อิสระ อยู่เมืองไทยบอกอึดอัด อยากจะไปอยู่เมืองนอก เพื่อจะได้เป็นอิสระแต่แล้วก็ไม่เคยเจอความเป็นอิสระที่แท้จริง มันแค่หลุดจากพันธนาการหนึ่ง ไปสู่อีกพันธนาการหนึ่งที่เหมือนกับเครื่องผูกหย่อน ๆ มันก็ไปเรื่อย ๆ ยังไม่เป็นที่อิสระอย่างแท้จริง เพราะยังไม่รู้จักว่าใครเค้าบังคับบัญชาอยู่ แล้วทำอย่างไรจึงจะหยุดจากการบังคับบัญชาของเค้าได้ ยังไม่ไปเห็นไปตามความเป็นจริง เมื่อยังไม่รู้ไปเห็นไปตามความเป็นจริงเข้า ก็ยังหลับอยู่ ยังไม่ตื่น แล้วจะเบิกบานได้อย่างไร เป็นอิสระได้อย่างไร
ดังนั้นที่ท่านสอนว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมายถึงสิ่งที่เราเห็น ๆ กันอยู่ด้วยตาส่วนหนึ่ง กับอีกส่วนที่เรายังมองไม่เห็น คือตั้งแต่ในระดับของกายทิพย์ หรือชาวสวรรค์ของพรหม ของอรูปพรหมที่ละเอียดปราณีตขึ้นไปน่ะอย่างนั้นยังไม่เป็นอิสระนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นเนี้ยะ ท่านรู้เห็นไปตามความเป็นจริงด้วยญาณทัศนะของท่านกายธรรมอันนี้แหละเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว กายธรรมที่สุดคือกายธรรมอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา นั่นแหละคือเป้าหมาย พอไปถึงกายตรงนั้นเข้าแล้วหลุดล่อนจากกิเลสจากอาสวะที่เค้าบังคับ บังคับกันมาตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ กายทิพย์ กายพรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี บังคับกันเรื่อยมาเลยเนี้ยะ กายธรรมที่สุด คือกายธรรมอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา นั่นแหละคือเป้าหมาย พอไปถึงกายตรงนั้นเข้าแล้วหลุดล่อนจากกิเลส จากอาสวะที่เขาบังคับ บังคับกันมาตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระสกิทาคามีกายธรรมพระอนาคามี บังคับกันเรื่อยมาเลยเนี้ยะ บังคับตั้งแต่หยาบมาถึงละเอียด พอถึงกายธรรมพระอรหัตหลุดเลย หลุดแล้วจากสิ่งที่เค้าได้บังคับเอาไว้ นั่นคือกายที่เป็นเป้าหมายของเรา
เพราะฉะนั้นเกิดมานี่ เรามีเป้าหมายชีวิต เพื่อที่จะเข้าไปถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว นี่คือเป้าหมายของเรานะจ๊ะ เราจะได้รู้เห็นอะไรไปตามความเป็นจริง เราจะได้เป็นผู้ตื่น จะได้เป็นผู้ที่เบิกบาน ส่วนการเกิดขึ้นมาทำมาหากินนั้นนะ ก็เพียงเพื่อวัตถุประสงค์จริง ๆ ก็เพื่อให้ได้มีปัจจัยสี่ พอหล่อเลี้ยงสังขาร เอากำลังความแข็งแรงนี้มาแสวงหาหนทางของความพ้นทุกข์ เพื่อเข้าถึงกายธรรมพระอรหัต นี่คือเป้าหมายที่แท้จริง แต่ที่ไม่รู้กันก็หากันร่ำไป หากันเรื่อยไปจนกระทั่งหมดเวลา หมดเวลาของชีวิตก็วนเวียนกันไปอยู่อย่างนั้นนะจ๊ะกายต่าง ๆ เหล่านี้ กายมนุษย์ละเอียด ดวงธรรมต่าง ๆ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมกายธรรมโคตรภู พระโสดา สกิทาคาอนาคา อรหัต ที่ซ้อน ๆ กันอยู่ กายเหล่านี้เนี้ยะมีอยู่แล้ว เป็นตถตา เป็นอยู่อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์นี้บังเกิดขึ้นหรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุเหล่านี้มีอยู่แล้ว มีดวงธรรมที่มีอยู่แล้ว กายมนุษย์ละเอียดก็มีอยู่แล้ว กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมต่าง ๆ มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าตัวของเราไปทำให้มันมี
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจก็ว่าเป็นนิมิตหลอก นิมิตลวงอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะเขาเข้าไม่ถึงถ้าเข้าถึงแล้วไม่พูดอย่างนั้น ของเหล่านี้มีอยู่แล้วเป็นตถตา เป็นตถตา เป็นของที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นหรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม กายเหล่านี้ ภพเหล่านี้ก็มีกันอยู่ มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่มีใครทราบ ยังไม่มีศาสดาใด ๆ ได้กล่าวถึงว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านมุ่งเข้าไปแสวงหาตรงจุดตรงนี้ ว่ามีมากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เป็นตถตาเนียะ กายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์หยาบเนี่ยมาจากไหน กายมนุษย์ละเอียด ทิพย์ พรหม อรูปพรหม จนกระทั่งกายธรรม สาวไปหาเหตุเข้าไปเรื่อย ๆ หมดอายุขัยของท่านแล้วยังไปไม่หมด ท่านก็ตั้งความปรารถนาว่ามาเกิดอีก ก็จะต้องสืบต่อความรู้อันนี้ไปอีก ให้พบว่ามาจากไหน สิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว
หลวงพ่อก็เช่นเดียวกัน มีความตั้งใจอย่างนี้เหมือนกัน หลวงพ่อธัมมชโยเนี่ยมีความตั้งใจ ตั้งมั่นมายาวนาน ทีเดียว ๓๐ ปี ๓๐ กว่าปี ๓๒ ปีแล้ว เมื่อรู้ความเป็นมาต่าง ๆ ทั้งหมดของตัวเองแล้ว ก็มุ่งทีเดียวว่าธรรมธาตุเหล่านี้เนี่ย แต่เดิมมาจากไหน มาอย่างไร ที่มันมีอยู่แล้วเนี่ยจะต้องไปสืบให้ถึง ที่สุดของธาตุธรรมของตัวเอง ถ้าไปไม่ถึงสุดสุดก็ยังจะต้องไปเป็นบ่าวเป็นทาสเค้า มีความตั้งใจที่จะไปค้นไปศึกษาสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่น่าศึกษา จะช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์ แล้วมันเป็นความรู้ที่ยิ่งรู้ยิ่งเบิกบาน ยิ่งรู้ยิ่งบริสุทธิ์ เป็นความรู้คู่กับความบริสุทธิ์เป็นความรู้คู่กับความสุข เป็นความรู้คู่กับความดี เป็นความรู้ถึงสิ่งที่น่าจะรู้ทีเดียว เป็นความตั้งใจมาตั้งแต่ปี ๐๗ ตั้งใจเรื่อยมาเลย แต่มาติดภาระกิจเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้าง จึงทำให้สะดุด ชะงักงันทีเดียว ปีนี้อายุ ๕๑ ปี มีความตั้งใจว่าถ้า ๒ สิ่งนี้บรรลุเป้าหมาย จะหยุดเกี่ยวกับเรื่องภาระกิจด้านหยาบนี้
จะสงวนเวลาเพื่อที่จะแสวงไปหาให้ถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น เพื่ออยากจะรู้ว่าสิ่งที่มีอยู่แล้วที่เรียกว่าเป็นตถตา ธรรมธาตุเหล่านี้เนี่ย มีบังเกิดขึ้นอยู่แล้วเนี่ย ไม่ได้มีใครไปปรุงแต่ง อยากจะรู้ อยากจะเห็น อยากจะเข้าไปเป็นในสิ่งนั้น ไปให้ถึงที่สุด เพราะรู้ตัวว่าถ้าไปยังไม่ถึงที่สุดแห่งธาตุธรรมของตัวแล้ว ยังไม่พ้นจากบ่าวจากธาตุของเขา ยังไม่พ้นจากบ่าวจากทาสของพญามาร ที่เค้าบังคับบัญชากันมาเป็นชั้น ๆ อยู่อย่างนั้น ยังมีสิ่งที่ข้องอยู่ในหัวใจ ๒ สิ่ง วัดพระธรรมกายสร้างเสร็จแล้ว สิ่งที่จะสร้างซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของครูบาอาจารย์ คือวิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำครูบาอาจารย์ที่ท่านค้นพบวิชชาธรรมกาย ถ่ายทอดสืบเนื่องกันเรื่อยมา จนกระทั่งทำให้ได้แนวทาง ที่จะค้นคว้ากันต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องบูชาครู ระลึกนึกถึงท่าน และอยากสร้างธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จ จะได้เป็นที่รวมใจของชาวโลก ให้ชาวโลกได้มารู้จักสรณะที่แท้จริง รู้จักที่พึ่งภายในที่แท้จริง จะได้ตื่นตัวหันเข้ามาศึกษาความรู้ภายในของตัว
สันติสุขที่แท้จริง จะได้บังเกิดขึ้น เมื่อ ๒ สิ่งนี้ซึ่งคั่งค้างอยู่ในหัวใจนี้หมดไป ภาระกิจหยาบหมดไป ถึงเวลาที่หลวงพ่อก็จะได้ใช้เวลา ที่มีเหลืออยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย ได้แสวงหาสิ่งที่ปรารถนามา ๓๒ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น ที่ได้กล่าวถึงตอนนี้โยงกันมานี่ เป็นแต่เพียงต้องการให้รับทราบว่า สิ่งที่มีอยู่ภายในตัวที่เรียกว่า"ตถตา" น่ะ กายมนุษย์ละเอียด ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมต่าง ๆ นั้น มันมีอยู่แล้วไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราไปทำให้มันมีขึ้นแต่ว่าเป็นของละเอียด และก็ละเอียดกันเป็นชั้น ๆ หน้าที่ของตัวของเราก็คือจะต้องทำความละเอียด ให้เท่ากับสิ่งที่ที่ละเอียด ที่มันมีอยู่แล้วในตัวของเรา ทำให้ละเอียด ถ้าละเอียดตรงกันในระดับไหน เราก็เข้าถึงในสิ่งนั้น เห็นสิ่งนั้น และก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งนั้นได้ ความรู้ต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้นเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ เข้าไป เพราะฉะนั้นต้องละเอียด เท่ากับสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวซึ่งเป็นของละเอียด
วิธีที่จะทำให้ละเอียดนั้นมีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น วิธีที่จะทำใจของเราให้ละเอียดมีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นคือทำใจให้หยุด ทำใจของเราเนี่ยให้หยุดให้นิ่ง อยู่ภายใน หยุดเป็นตัวสำเร็จ ที่จะทำให้เข้าถึงในสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าหยาบไม่สำเร็จ ถ้าวิ่งไม่สำเร็จ ถ้าใช้จินตนาการใช้ความนึกคิดก็ไม่สำเร็จ ฟังเค้าเล่ามาก็ไม่สำเร็จ ไปอ่านหนังสือเจอตามตำรับตำราไม่สำเร็จอีกเหมือนกัน จะฟังเขาคุยแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ เอามาคิด เอามานึก เอามาคาดคะเน เอามาดันเดาต่าง ๆ หาเหตุหาผลอาศัยตรรกวิทยา ในการหาเหตุหาผล ไม่สำเร็จเด็ดขาด เพราะฉะนั้นหยุดตัวเดียวเป็นตัวสำเร็จ หยุดตัวเดียวเป็นตัวสำเร็จ หยุดอย่างเดียวนะจ๊ะ จับหลักตรงนี้ได้แล้วเท่ากับเรา ความสำเร็จเอาไว้ในมือล้านเปอร์เซนต์ เอาอะไรหยุด เอาใจของเราที่ซัดส่ายไปมา หยุดนิ่งเข้าไปสู่ภายใน วิธีที่จะทำใจให้หยุดนี้มันก็มีกลเม็ด มีเทคนิค มีวิธีการ ถ้าทำถูกวิธีการก็เร็ว ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็ช้า ๕๗๙...
เพราะฉะนั้นบางท่านมาถามหลวงพ่อว่า ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเข้าถึง ก็ถือโอกาสตอบตอนที่นี้เลยนะจ๊ะ ถ้าถูกวิธีก็เร็ว ถ้าผิดวิธีก็ช้า ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นเลย สิ่งอื่นแค่เป็นเครื่องประกอบเท่านั้น เพราะตัวของเรานั้นเป็นผู้ที่มีบุญเก่า สั่งสมมาอย่างดีแล้ว จึงมาได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ เรื่องธรรมกาย เรื่องวิธีการเข้าถึง ได้มีโอกาสมาปฏิบัติ เรามีบุญมากพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ตัดทิ้งไปได้เลย เราจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดฟุ้งซ่านว่าเราคงบุญน้อย คงไม่มีโอกาสได้เข้าถึง แล้วก็เกิดน้อยใจ เกิดท้อใจ ขัดเคืองใจ นั่งทีไรก็ไม่เห็นซักที ที่จริงแล้วไม่ถูกวิธีนะจ๊ะ ถ้าหากเรามีความสมัครใจ ที่จะได้ ที่จะไปรู้ ไปเห็น เพราะความสมัครใจเนี่ยเป็นเบื้องต้น ต่อจากนั้นก็ทำให้ถูกวิธีเท่านั้นเอง
ถ้าถูกวิธีก็เร็ว ถ้าไม่ถูกวิธีก็ช้า ถูกวิธีก็คือต้องทำใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ภายใน หยุดนิ่งเฉย ๆ อย่างสบาย ๆ ต้องหยุดอย่างสบาย ๆ หยุดแบบโมโหโทโสก็ไม่ได้เหมือนกัน คือมีจิตเป็นกุศลอยากจะได้ธรรมะ นั่งเอาจริงเอาจัง พยายามไปเค้นภาพจะให้องค์พระเกิด จะให้ดวงธรรมดวงแก้วเกิด นั่งเค้นภาพที่ล้านปีก็ไม่สำเร็จ เพราะผิดวิธี ตั้งใจมากมุ่งมันเอาจริงเอาจังทีเดียว แต่ถ้ามากเกินไปก็เครียด อาการตึงเครียดเกิดขึ้นในระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ พลอยมีผลไปถึงจิตใจด้วย ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะผิดวิธี หย่อนเกินไปก็ปล่อยใจเรื่อยเปื่อย ไปเรื่อยเปื่อยฟุ้งซ่านไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เผลอเคลิ้มบ้าง หลับบ้าง ฟุ้งบ้าง นั่นก็ไม่ถูกวิธี
ที่ถูกวิธีนั้นจะต้องหยุดอย่างสบาย มันยากตอนแรกนะจ๊ะ ยากตรงหยุดแรก หยุดแรกนี่ยากนิดหนึ่ง ตรงที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจว่าจะทำอย่างไรให้มันพอดี การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการแสวงหาความพอดีนั่นเอง ทำอย่างไรเราจึงจะวางใจให้หยุดนิ่ง ๆ ได้พอดี ตรงนี้ยาก มันยากตรงนี้ ที่จริงถ้าศึกษากันให้เข้าใจแจ่มแจ้งมันก็ไม่ได้ยาก เราจะต้องหัด ทํใจให้เย็น ๆ ต้องหัดทำใจให้เย็น ๆ นะจ๊ะ อย่าไปอยากได้ อยากเห็นอยากมี อยากเป็นเร็วๆ หรือนั่งจะไปแข่งกับคนอื่น หรือเห็นคนอื่นได้เราก็อยากจะได้บ้าง อะไรอย่างนั้น อย่างนั้นไม่ถูกวิธี ต้องใจเย็นๆ ใจนี่ต้องเย็น ๆ นะจ๊ะ แค่เรามีเพียงความสำนึก ลึก ๆนิดเดียวเท่านั้นเอง ว่าเราจะวางใจของเรา หรือหยุดใจของเราให้นิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ ในอารมณ์ที่เราพึงพอใจ อย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น โดยไม่หวังผลว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ไม่หวังว่าเราจะต้องได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้
เราแค่จะทำเพียงแค่นี้ อย่างนี้เท่านั้น คือวางใจเหมือนมีสำนึกลึกนิด ๆ นิดเดียวจริง ๆ ฟังเสียงหลวงพ่อนะจ๊ะ นิด...หนึ่ง เบา เบา ลองทำดูนะจ๊ะ เบา...เบา เบา ให้ละเอียดให้มัน soft ให้มันนุ่มๆ ทำได้มั้ย ให้มัน soft ให้มันนุ่มละมุนละไม นิ่ง นิ่งเบาๆ นิ่งอย่างนี้นะจ๊ะ นิ่ง นุ่ม ๆ ละมุนละไม เบา ๆ แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตามให้นิ่งเฉย ๆ นะ นิ่งเฉย....ใจเย็น ๆ เดี๋ยวจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นนะเราแค่ทำนิ่ง ๆ แต่มันจะไปมีผลที่ร่างกายและจิตใจเหมือนเราแค่รดน้ำที่โคนต้นไม้ แต่ไปมีผลที่ลำต้น กิ่งก้านใบ ดอกผล ไปมีผลตรงนั้นนะจ๊ะ ต้นไม้จะเกิดความปิติยินดีไปทั่วไปทั่วหมดเลย ออกดอก ออกผล ผลิ มียอดอันแย้มแล้ว เดี๋ยวก็เห็นดอกเห็นผล ทีนี้ถ้าหากเราทำแค่นี้นะให้ใจนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม เบา ๆ ไม่ได้หวังว่าเราจะเห็นอะไรหรือได้อะไร เราจะทำแค่อย่างนี้ แค่นี้เท่านั้นนะ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา เหมือนมีสำนึกลึก ๆ ที่ละเอียด
เมื่อใจเรานิ่งอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าเราทำเบาจริง ๆ นะ เดี๋ยวใจเราจะขยาย ใจจะขยายกว้าง ออกไปเรื่อย ๆ เลย ร่างกายเหมือนพอง ๆ โต ๆ ขยาย เริ่มละเอียดกลืนไปกับบรรยากาศ เหมือนรอบ ๆ ตัวเรานี้มันกว้างออกไปน่ะ กว้างออกไป เดี๋ยวมันก็เบาไปเรื่อย เหมือนไม่มีตัวมีตนล่ะตอนนี้ นิ่ง ๆ มันก็จะละเอียดลงไป ละเอียดลงไป ละเอียดลงไปน่ะ ใจมันก็นิ่ง นิ่งเบา ๆ สบาย พอกำลังสบายเดี่ยวความสว่างก็มาเองแหละ มาเหมือนฟ้าสาง ๆ จากฟ้าสาง ๆ ก็ฟ้าใส ๆ จากฟ้าใส ๆ ก็เหมือนฟ้าสว่าง ๆ เหมือนตอนตีห้ายามเช้าในฤดูร้อนน่ะ เหมือนหกโมงเช้า เจ็ดโมง สว่างไปเรื่อย ๆ ก็สว่างขึ้นสว่างไปเองน่ะ ถ้าเราวางใจตั้งแต่เบื้องต้นถูกนะจ๊ะ รักษาระดับนั้นให้สม่ำเสมอ มีสติอยู่กับตัวมีความสบาย สม่ำเสมอ นิ่ง นุ่ม ๆ สบาย... พอสบาย ใจก็ขยายกว้างออกไป กว้างออกไป มือไม้บางคนก็รู้สึกหนัก ๆ บางคนก็หายไปเลยอย่าไปตกใจนะ ปล่อยเฉย ๆ เดี๋ยวมันก็หายไปทั้งตัวเลย ตัวก็เบา โล่งไปเรื่อย ตัวโล่งเหมือนอยู่ในอวกาศโล่ง ๆ บางคนก็เคว้งคว้างตัวเอียงไปเอียงมา
แต่ถ้าเราเฉย ๆ มันก็จะนิ่ง กว้าง ๆ เดี๋ยวดวงธรรมที่เกิดขึ้น หรือบางคนก็เป็นองค์พระเกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างลาง ๆ ลัว ๆ ลาง ๆ คล้ายกับเอาดวงแก้วหรือองค์พระไปตั้งเอาไว้อยู่ในที่สลัว ที่ไกล ๆ น่ะ หรือตอนเช้าตรู่นะ เราจะเห็นของไม่ค่อยชัด มันก็จะเห็นคล้าย ๆ อย่างนั้นน่ะ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ตาหยาบเราเคยเห็น แต่นี้เป็นการเห็นภายในก็คล้ายกันอย่างนั้นแหล่ะ ถึงตอนนี้ก็ต้องใจเย็นต่อ อย่าไปอยากให้มันชัดเร็ว ๆ มีให้ดูแค่ไหนเราดูไปแค่นั้นนะจ๊ะ ดูนิ่ง เดี๋ยวมันก็ชัดขึ้น ชัดขึ้นเองเลย ชัดขึ้นจากองค์พระที่สลัวหรือดวงแก้วที่สลัว ก็ชัดขึ้น ชัดขึ้น ตอนนี้เราก็ดูไปเฉย ๆ มีให้ดูแค่ไหนดูไปแค่นั้นนะจ๊ะ อย่าไปเพ่งทำตาหยี จะจ้องให้มันชัด อย่างนั้นไม่ถูกวิธี เห็นไหมจ๊ะ ตรงนี้ถ้าผิดวิธีล้านปีก็ไม่เห็นมีให้ดูแค่ไหนเราดูไปแค่นั้น ดูอย่างสลัว ลาง ๆ ดูไป ๆ สบาย ใจของเราก็สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างที่บอกไว้แล้วนะ ความรู้ต้องคู่กับความสุข
ถ้าความรู้เกิดขึ้นมาพร้อมกับความทุกข์อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ถูกวิธี ถ้าทำอย่างนี้นะ เดี๋ยวองค์พระก็ชัดขึ้น ชัดขึ้นมาเองเลย หรือดวงธรรมที่ชัดขึ้น ชัดขึ้นชัดขึ้นใจของเราก็นิ่ง นิ่ง นุ่ม ๆ สบาย ๆ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วภายใน เราไม่ได้ไปทำให้มันมี พอเราละเอียด เดี๋ยวก็เห็น เดี๋ยวก็ชัดขึ้น ชัดขึ้น เดี๋ยวก็องค์พระเกิดขึ้นทีละองค์ ช้า ๆ เราก็ยังคงทำใจเย็น ๆ ต่อ เนี้ยะ ช้า ๆ ไปเรื่อย เดี๋ยวองค์พระก็ชัดขึ้น ขึ้นมาทีละองค์ องค์แรกก็ลัว ๆ ลาง ๆ เราก็ดูไป เดี๋ยวองค์ที่สองมาใหม่ก็ดูไปเรื่อย อย่างนี้แหละนะจ๊ะ จนกระทั่งใจละเอียดลงไป เดี๋ยวชัดเท่ากับลืมตาเห็นเลย ทั้งชัดทั้งใสสว่าง ลองทำดูนะ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆเบา ไม่หวังว่าจะเห็นอะไรนะ นิ่งเฉย เบาสบาย ๆ ให้ใจมัน soft มันนุ่ม นุ่มนิ่ง ๆ เดี๋ยวตัวขยาย ขยายออกไปเรื่อย ๆ องค์พระก็ผุดขึ้น เกิดขึ้นทีละองค์ สององค์ สามองค์ ไปเรื่อย ๆ เลย เดี๋ยวก็ต่อเนื่องเป็นสาย
นี่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เป็นเสียก่อน นิ่งนุ่มสบาย ๆ หรือถ้าจะนึกถึงดวงแก้วหรือองค์พระก็นึกอย่างมีสำนึกนิดเดียว สำนึกอย่างละเอียดอ่อนนิดเดียวเหมือนเรานึกถึงภาพดอกกุหลาบหรือดอกบัว ได้รู้จักการเห็นทางใจเบื้องต้นอย่างนั้นก่อน มันไม่ชัดฮวบฮาบหรอก มันค่อย ๆ ซึ่งไม่ค่อยทันใจเรานัก แต่ต้องให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วอย่าลืม เราบังคับอะไรไม่ได้ทั้งหมดน่ะในโลก เราจะไปบังคับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องเปลี่ยนจากการเป็นผู้กำกับ มาเป็นผู้ดู ดูประสบการณ์ภายใน ด้วยใจที่ soft นุ่ม เยือกเย็น ให้ได้อารมณ์สบาย ๆ อย่างนี้ไปก่อนนะ สบายใจเย็น ๆ ให้นิ่งนุ่มเดี่ยว ๑๘ กายจะอยู่ในกำมือของเราอย่างอัศจรรย์ที่เดียวเวลากลับไปบ้านนะ ไปหัดทำอย่างนี้นะ หัดทำนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไมสบาย
หัดทำเรามีเวลาตอนไหนเราหัดทำดูนะ จะกี่นาที่ไม่ต้องไปกังวล เรานิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เดี๋ยวจะถูกส่วนเอง เดี๋ยวพอใจถูกส่วนมันก็วูบถูกดูดเข้าไปข้างใน วูบลงไปเลย อย่าตกใจนะจ๊ะ ถ้ามีการเหมือนถูกดูดเข้าไป หรือหล่นจากที่สูงก็อย่าตกใจ ทำเฉย ๆ แต่ถ้าอดตกใจไม่ได้ก็ช่างมัน ตกใจสัก ๒ - ๓ ครั้งเดี๋ยวก็ชิน นั่นถูกวิธีแล้ว ถูกวิธีแล้วก็นิ่ง นุ่ม สบาย ๆ นี่จำวิธีให้ดีนะจ๊ะ ภาวนาสัมมาอะระหังก็ได้ จะไม่ภาวนาก็ได้ อะไรที่จะทำให้ใจเรานิ่ง เรานุ่ม ละมุน ละไม สบายสบาย ก็ทำอย่างนั้นนะ จำให้ดีนะ ต้องทำให้ได้นะจ๊ะ จะภาวนาสัมมา อะระหัง ก็ได้ จะนึกดวงแก้วองค์พระก็ได้ถ้าอยากนึก จะไม่นึกก็ได้ถ้าไม่อยากนึกแต่ขอให้นิ่ง นุ่ม soft ละเอียดอ่อน เบา เบา เบาแล้วเบาอีก นิ่งเฉย ๆ เดี๋ยวกันก็รีบเข้าไปข้างในไม่ยากนะจ๊ะ ไม่ยากอะไร หลับตานะ อย่าลืมตากันนะจ๊ะตั้งใจกันให้ดี ให้นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ไว้นะ