อดทนหรือยัง
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกขา
ความอดทน คือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง
เมื่อได้ศึกษาวิชาการสาขาใด ๆ มาแล้ว ถ้าจะให้สามารถ นำวิชาเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีหลักในใจ
ข้อแรก คือ “ความอดทน”
หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า ฉันก็มีความอดทนอยู่แล้ว มิฉะนั้น คงไม่ได้เรียนจบมาได้จนถึงวันนี้ หรือมิฉะนั้นคงจะไม่ได้มีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ยังไงก็ตามหลวงพ่อขอเตือนสติก่อนว่า คนส่วนมากมักไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ เรื่องของความอดทนนี้มักจะคิดดูเบาว่าเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะได้ยินกันมานานแล้ว แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งจริง ๆ จะพบว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักกับความอดทนจนถึงแก่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอดทนสูงสุดที่มนุษย์ต้องมีคือ ความอดทนอย่างยิ่งยวดชนิดที่เรียกว่า ตีติกขา
ความอดทนของมนุษย์มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
1. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ
2. อดทนต่อทุกขเวทนา
3. อดทนต่อการกระทบกระทั่ง
4. อดทนต่อความเย้ายวนยั่วยุ
1. อดทนต่อความลำบากตราตรำ หมายถึง ความอดทน ต่อสภาพธรรมชาติ สภาพดินฟ้าอากาศ ไม่ว่าหนาว ร้อน อ่อน แข็ง หรือลุ่มดอนอย่างไรก็ต้องทน เช่นว่า ฤดูหนาวนี้อยากได้เสื้อกันหนาวสวย ๆ สักตัว หรืออยากได้เครื่องทำน้ำอุ่นสักเครื่อง แต่เพราะไม่ค่อยมีสตางค์จึงจำต้องทนต่อความลำบากตรากตรำกันไป โดยเฉพาะชีวิตพยาบาลอย่างพวกเราซึ่งต้องอดหลับอดนอนกันเก่งเป็นพิเศษ เพราะต้องอยู่เวรหรือเฝ้าไข้ ซึ่งต่างก็ได้รับการฝึกฝนมาแล้วอย่างดีจนชำนาญ ความอดทนประเภทนี้ เป็นความอดทนขั้นต้น ใครร่างกายแข็งแรงก็ได้เปรียบมีโอกาสจะทนในข้อนี้ได้มาก
2. อดทนต่อทุกขเวทนา หมายถึง ความอดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย ความอดทนประเภทนี้ผู้ที่เรียนทางด้านการแพทย์ การพยาบาล ย่อมจะรู้ซึ้งดีเพราะต้องอยู่กับคนไข้ทุกวัน คนไข้บางคนทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่มแน่นร่างกายก็ใหญ่โตแต่กลับไม่ค่อยอดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ บางคนซึ่งร่างกายไม่ทนต่อความลำบากตรากตรำ กลับสามารถทนต่อทุกเวทนาได้ดีก็มี
3. อดทนต่อการกระทบกระทั่ง หมายถึง ความอดทนต่อการถูกขัดใจ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มคนจำนวนมากๆ ความอดทนชนิดนี้จะเป็นเครื่องบอกถึงความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของคนนั้น เพราะในกลุ่มคนมาก ๆ ต่างคนต่างก็มาจากต่างภูมิภาคมาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน อัธยาศัยใจคอตลอดจนความคิดเห็นก็ต่างกัน บางคนก็พูดเพราะ บางคนก็พูดไม่เพราะ โอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันเพราะถูกขัดใจย่อมมีมาก บางคนทำงานร่วมกับเพื่อนไม่ค่อยได้ เพราะเพียงกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยก็ถึงกับบ่นว่ากัน หรือเห็นเพื่อนฝูงทำงานไม่ค่อยเรียบร้อยในบางเรื่องก็ชักจะทนไม่ค่อยได้ บางคนก็ทนต่อระเบียบวินัยของผู้บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นต้น ในวงการศาสนาถือว่า ใครก็ตามที่ไม่อดทนต่อการกระทบกระทั่ง ก็พูดได้ว่าคน ๆ นั้นเท่ากับฆ่าตัวตายเสียตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงานแล้ว ถ้าไม่แก้ไขชาตินี้จะเอาดีไม่ได้เลยซึ่ง ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์หรือท่านที่จบการศึกษามาแล้วหลาย ๆ ปีถ้าลองนึกทบทวนกลับไปถึงสมัยที่ยังเรียนอยู่ จะพบว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันบางคนที่เรียนเก่งกว่าเราได้เหรียญทองหรือได้เกียรตินิยมด้วย แต่หลังจากทำงานไปแล้วหลายปี กลับปรากฏว่าตัวเรามีฐานะตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่เพื่อนคนที่ได้เกียรตินิยมคนนั้นกลับไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่เขาเรียนเก่ง ทำงานเก่ง เป็นเพราะอะไร เพราะไม่อดทนต่อการกระ-ทบกระทั่งนั่นเอง ความอดทนประเภทนี้ ใครทนได้จัดว่าเป็นขันติบารมี ประเภทหนึ่ง แม้แต่ในหมู่พวกเรานักศึกษาพยาบาลบางคนมีหน้าตารูปร่างดี สุขภาพแข็งแรง ทั้งยังมีฐานะดีและเรียนเก่งแต่กลับไม่ค่อยมีเพื่อน ในขณะที่อีกหลายคนทั้งหน้าตาก็ไม่สวยสุขภาพก็ไม่ค่อยดี แต่เขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ เป็นที่รักของเพื่อนฝูงเป็นเพราะเขาอดทนต่อการกระทบกระทั่งได้ดี นี่คือที่มาแห่งเสน่ห์ของคนเรา
4. อดทนต่อความเย้ายวนยั่วยุ หมายถึง การอดทนต่อสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ ทั้งจากเพศตรงข้าม จากความอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ความอดทนชนิดนี้ถือว่าเป็นความสุดยอดของความอดทนพระภิกษุบางรูปที่บวชมาเป็นเวลาหลายพรรษา ครั้นได้ยินเสียงเพราะ ๆ หรือรอยยิ้มหวาน ๆ ของสตรีก็ทนไม่ไหวต้องลาสิกขาไปอย่างน่าเสียดาย หมดโอกาสบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเพราะไม่ทนต่อสิ่งเย้ายวนนั่นเองท่านที่ขาดความอดทนต่อสิ่งเย้ายวนยั่วยุเหล่านี้ จะไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองอยู่ในสมณเพศได้เลย แม้เมื่อลาสิกขาไปเป็นฆราวาสแล้ว ถ้าไม่อดทนต่อความเย้ายวนยั่วยุทั้งหลาย มัวหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จมอยู่ในอบายมุขก็หาความเจริญในชีวิตไม่ได้อีกเช่นกันความอดทน 2 ประเภทหลังนี้ คือความอดทนต่อการกระทบกระทั่งและความอดทนต่อความยั่วเย้าต่าง ๆ รวมกันแล้วเรียกว่าเป็นขันติประเภท ตีติกขา ซึ่งเป็นความอดทนสูงสุดที่มนุษย์ต้องมีมิฉะนั้นแล้วชาตินี้จะเอาดีไม่ได้
สิ่งยั่วยุให้หมดความอดทน
สิ่งเย้ายวนให้คนเราหมดความอดทนลงนั้น โบราณท่าน บอกให้ระวัง 3 ส. ไว้คือ
1.ส. สตางค์ เรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ ทำให้คนเสียหายมากบางคนมีความดีหลายอย่างอดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ทุกรูปแบบ แต่ว่าตกเป็นทาสของเงินตรา ในที่สุดกลายเป็นนักทุจริตโกงกินไปอย่างน่าเสียดาย
2.ส. สตรี ชายฉกรรจ์อก 3 ศอกบางคน เมื่อเจอสตรีสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเข้าชักเขว จิตใจที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนเหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปเลย ขนาดชนะตลุยมาสิบทิศยังมาแพ้เอาทิศสตรีเสียได้
สำหรับผู้หญิงก็ขอเตือนไว้ว่า ส.ที่ 2 คือ ส.สุภาพบุรุษซึ่งสุภาพเฉพาะหน้าตาท่าทางจะเลือกคู่ครองก็ขอให้ระวังให้ดี รู้จักตรองอย่างรอบคอบ และอดทนศึกษานิสัยใจคอไปนาน ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน เพราะถ้าต้องไปตกอยู่ในอำนาจของสามีซึ่งไม่มีคุณธรรมแล้ว ก็ยากที่จะมีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานหรือมีความสุขในชีวิตได้ ทำหน้าที่การงานอะไรก็ไม่เจริญ
3.ส. สรรเสริญ ความอยากได้ลาภ ยศ ชื่อเสียงและสรรเสริญ เป็นเหตุให้ต้องเสียคนมามาก ความอยากเด่นอยากดังจะเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเรา เพราะต่างก็พยายามทำทุกวิถีทาง เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเท่านั้นโดยไม่สนใจว่าจะสร้างบาปกรรมให้กับตนเอง และผู้อื่นมากน้อยเท่าใด
ความอดทนทำให้มีเสน่ห์
เสน่ห์แบ่งออกได้เป็น 4 ระดับคือ
1. เสน่ห์ชั้นนอก - เสน่ห์ที่เกิดจากอาภรณ์เสน่ห์ชั้นนี้เป็นเสน่ห์ที่เกิดจากการ ตกแต่งร่างกายด้วยเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับที่อยู่ภายนอก อาภรณ์เหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าช่วยให้ผู้แต่งมีเสน่ห์ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเสน่ห์ประเภทนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องถอดทิ้งเปลี่ยนใหม่ ถ้าเป็นเสน่ห์จากเครื่องสำอางก็สวยมีเสน่ห์อยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะจืดจาง ต้องเขียนต้องทาซ้ำ
2. เสน่ห์ชั้นกลาง - เสน่ห์ที่เกิดจากรูปร่างผู้ที่มีรูปร่างทรวดทรงดี ก็มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตามสำหรับเสน่ห์ชั้นนี้มักเสื่อมถอยลงตามวัย เมื่ออายุมากขึ้นทรวดทรงก็เริ่มเสียไปไม่น่าดู เสน่ห์ประเภทนี้ก็จะลดลง ถึงกับมีคำล้อเล่นในหมู่ชาวบ้านว่า สวยแค่ไหน แต่พอแต่งงานมีลูกคนเดียวก็กลายเป็นยายพะโล้ แสดงว่าเสน่ห์ชั้นนี้หมดแล้ว ยิ่งพอมีลูก 2 คนก็กลายเป็นยายแร้งทึ้ง ยิ่งมีลูก 3 คนก็ยิ่งหนัก
เข้าไปอีกแม้แต่แร้งก็ไม่อยากทึ้งเพราะมันไม่ไหวจริง ๆ สำหรับคุณผู้ชายอายุ 40-50 นี้ก็คงเริ่มลงพุงแล้ว ผมบนศีรษะก็ชักน้อยชักถอยไปด้านหลัง เสน่ห์ชั้นนี้จึงอยู่กับเราได้ไม่นาน วันหนึ่งก็ต้องเสื่อมไป
3. เสน่ห์ชั้นใน - เสน่ห์จากมารยาท บางคนมีเสน่ห์จากอาภรณ์และรูปร่าง แต่ไม่มีมารยาทดังนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะเป็นยายแร้งทึ้งเพื่อนฝูงก็ไม่อยากจะเข้าใกล้แล้ว คนที่มีมารยาทจึงเป็นที่ชื่นชมแก่ผู้ที่ได้พบเห็น จัดเป็นความงามหรือเสน่ห์ที่ค่อนข้างจะทนทานกว่าเสน่ห์จากอาภรณ์และรูปร่าง อย่างไรก็ตาม มารยาทอาจจะยังไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากใจจริง อาจจะเป็นเพียงกิริยาท่าทางที่อยู่ภายนอกเท่านั้นต้องดูต้องคบกันไปนานๆ จึงจะเห็นของจริง
4. เสน่ห์ชั้นในสุด - เสน่ห์ที่เกิดจากความอดทน เสน่ห์ชั้นนี้เป็นเสน่ห์ที่ถาวร โดยเฉพาะความอดทนต่อการกระทบกระทั่ง ใครทนได้มากก็เป็นที่รักใคร่ของชนทุกระดับ เพื่อนฝูงก็รัก อาจารย์ก็เมตตาเอ็นดู เพราะจะว่ากล่าวตักเตือนในสิ่งใดก็ไม่หนักใจ คนประเภทนี้แม้จบการศึกษาแล้วจะออกไปทำงานที่ใด ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนก็รัก ถึงแม้จะมีรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณที่ไม่น่าดูอย่างไรก็ตาม เพราะเขาอดทนต่อการกระทบกระทั่งได้ดี ใครจะพูดค่อนขอด หยอกล้อรุนแรงอย่างไรก็ไม่โกรธ ไม่เอาเรื่องกับใครได้แต่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ บุคคลประเภทนี้ย่อมประสบความเจริญก้าวหน้าในชีวิตอย่างแน่นอน
เสน่ห์ที่เกิดจากความอดทนนี้จึงเป็นเสน่ห์ถาวร ที่เป็นต้นทางแห่งความสำเร็จทั้งหลาย ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องอดทนไว้ว่า “เว้นจากปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าความอดทนนั้นเป็นคุณธรรมที่เลิศที่สุด”
ในบรรดาคุณธรรมทั้งหลายในโลก ปัญญามาเป็นอันดับ 1 ความอดทนมาเป็นอันดับ 2 ตัวอย่างเช่น ในวงการนักวิ่งพบว่านักวิ่ง
ที่วิ่งดีจริง ๆ นอกจากจะมีฝีเท้าเร็วแล้ว จะต้องวิ่งได้อึด คือ ความอดทนจะต้องดี จึงจะเป็นนักวิ่งชั้นเยี่ยมได้
ดังนั้นคนที่มีแต่ปัญญาจึงยังเอาตัวไม่รอด จะต้องมีทั้งปัญญาและความอดทนด้วย พวกเราที่ได้ผ่านการศึกษามาถึงระดับนี้ก็นับว่ามีปัญญาพอ แต่ใครจะก้าวหน้าไปได้ไกลกว่าใครจะได้ดีกว่าใคร อยู่ตรงที่มีความอดทนนี้เอง ความอดทนที่กล่าวมาแล้วทั้ง 4 ประเภทคืออดทนต่อความลำบากตรากตรำอดทนต่อทุกขเวทนา อดทนต่อการกระทบกระทั่ง อดทนต่อความเย้ายวนยั่วยุ หากผู้ใดมีครบก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต อุปสรรคใด ๆ ก็จะขวางไว้ไม่ได้ เพราะความที่เป็นที่รักของผู้คนรอบข้างจะทำงานอะไรก็ย่อมจะได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี คุณสมบัติของความอดทนนี้จึงเป็นเสน่ห์ชั้นสูง ถือเป็นกุญแจดอกแรกสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะประสบความสำเร็จในชีวิต