เพียงสดับคำ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

วันที่ 03 กค. พ.ศ.2567

2567_07_03_b_-_.jpg

 

เพียงสดับคำ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์


          พระราชามหากัปปินะ แห่งกุกกุฏิวดีนคร ทรงอโนชาเป็นธรรมราชา มีพระมเหสีทรงพระนามว่าทั้งสองพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

          วันหนึ่ง พระราชามหากัปปินะทรงม้าเสด็จประพาสพระราชอุทยาน พร้อมด้วยอำมาตย์ ๑,๐๐๐ คน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพ่อค้ามาประมาณ ๕๐๐ คนพักผ่อนอยู่มีอาการอ่อนเพลีย ทรงดำริว่าคนพวกนี้ เดินทางมาจากเมืองไกล คงจะมีข่าวดีอะไรบ้าง จึงรับสั่งให้พวกพ่อค้ามาเหล่านั้นเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามเรื่องราวต่างๆ

           พวกพ่อค้าม้าได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เพียงได้ยินเท่านั้น ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์เคยแสดงตนเป็นพุทธมามกะต่อพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตมาแล้วพระสรีระของพระองค์ก็เปี่ยมล้นด้วยความปลื้มปีติ ทรงตื้นตันพระทัยตรัสถาม ถึง ๓ ครั้ง เมื่อได้รับการยืนยันแน่นอนจึงพระราชทานทรัพย์ให้พ่อค้าม้าเหล่านั้นมากถึง ๓ แสน เป็นรางวัลที่นำข่าวรัตนะทั้ง ๓ มาให้ทรงทราบ


            พระราชาทรงตัดสินพระทัย ไม่เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวังอีก จะเสด็จออกบวชในสำนักพระบรมศาสดาอำมาตย์เหล่านั้นก็ถวายปฏิญญาว่าจะตามเสด็จด้วยพระราชาจึงมีพระราชสาส์นฝากพ่อค้าไปถึงพระนางอโนชาเทวีว่า ให้พระนางเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เถิดฝ่ายพวกอ้ามาตย์ก็เขียนสาส์นถึงภรรยาของตนเช่นนั้นเหมือนกัน จากนั้นก็พากันออกจากพระราชอุทยาน มุ่งสู่กรุงสาวัตถีโดยมิได้เหลียวหลัง


            เช้าวันนั้น พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์โลก ได้ทรงเห็นเรื่องราวของพระราชามหากัปปินะและอุปนิสัยแห่งอรหัตผล จึงเสด็จพระราชดำเนินเป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ มาต้อนรับพระราชามหากัปปินะ ประทับนั่งรออยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำาจันทภาคา

             เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำสายแรก ไม่มีเรือหรือแพจะข้ามฟาก พระองค์จึงตรัสว่า


            “เมื่อพวกเรามัวเสียเวลาคิดหาเรือแพอยู่ ความเกิดย่อมนำไปสู่ความแก่ ความแก่ย่อมนำไปสู่ความตาย ตัวเราไม่มีความสงสัยในคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เราจะบวชอุทิศพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ขอน้ำนี้อย่าได้เป็นเหมือนน้ำทั้งหลายเลย"
 

              เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงขับม้าลงในแม่น้ำพร้อมด้วยอำมาตย์ ๑,๐๐๐ คน ม้าทั้งหมดวิ่งไปบนผิวน้ำ เหมือนวิ่งไปบนแผ่นดิน ปลายกับมิได้เปียก แม้สักหยาด


               เมื่อเสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำสายที่สอง ก็ทรงระลึกถึงคุณของพระธรรมว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วฯ” เป็นต้น แล้วทรงข้ามแม่น้ำนั้นไปได้โดยนัยก่อน

               เมื่อเสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ก็ทรงระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ว่า “พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบฯ” เป็นต้น แล้วทรงอธิษฐานให้ม้าข้ามไปได้โดยนัยก่อนอีก

                เมื่อทรงข้ามแม่น้ำจันทภาคาได้แล้ว ทอดพระเนตรเห็นฉัพพรรณรังสีเป็นรัศมี สี พวยพุ่งออกจากพระสรีระของพระบรมศาสดา จับกิ่งคาคบและใบของต้นไทรตังทองคํา


                 พระราชาทอดพระเนตรเห็นอัศจรรย์ดังนั้น จึงทรงดำริว่า “แสงสว่างนี้มิใช่แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ หรือแสงสว่างแห่งเทวดา มาร หรือพรหม การที่เราออกบวชอุทิศพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้แล้วเสด็จมารับเราเป็นแน่แท้” จึงเสด็จลงจากหลังม้า น้อมพระวรกายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตามสายแห่งพระรัศมีถวายบังคมแล้วประทับนั่งพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งพันคน


                  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงต้อนรับและทรงแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อแสดงจบ พระราชาและอำมาตย์ทั้งหมดได้บรรลุธรรมกายพระโสดา เป็นพระโสดาบันได้ลุกขึ้นกล่าวแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และทูลขอบรรพชาอุปสมบท


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเหยียดพระหัตถ์ออกพลาง ตรัสว่า


                 “เธอทั้งหลายจงมาเป็นภิกษุเถิด
                 จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อให้สิ้นทุกข์โดยชอบเถิด”

 

กุลบุตรเหล่านั้น มีพระราชามหากัปปินะเป็นประธานก็ได้บรรพชาอุปสมบทสมความปรารถนา


                  ฝ่ายพระนางอโนชาเทวี เมื่อทรงทราบความจากพ่อค้ามาแล้ว ทรงปีติโสมนัสมาก พระราชทานทรัพย์ให้พ่อค้ามาถึง ๙ แสนเป็นรางวัล รวมทั้งที่พระราชาพระราชทานด้วยเป็น ๑ ล้าน ๒ แสน


                  พระนางทรงดำริว่า การยอมรับราชสมบัติที่พระราชาทรงสละแล้วนั้น เป็นเหมือนกับการคุกเข่าลงรับก้อนเขฬะที่พระราชาบ้วนทิ้งแล้ว ใครเล่าจักทำได้ราชสมบัตินี้ได้นำทุกข์มาให้ไม่เพียงแต่พระราชาพระองค์เดียว แต่ได้นำทุกข์มาให้เราด้วย เราไม่ต้องการราชสมบัติเราจักออกบวชอุทิศพระบรมศาสดาเช่นกัน


                   พระนางได้แจ้งเรื่องราวทั้งปวงให้ภรรยาของพวกอ่ามาตย์เหล่านั้นทราบ แม้ภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้นก็ยินดีพร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติ และเครือญาติออกบวชตามเสด็จด้วย


                    พระนางและเหล่าภรรยาอำมาตย์ เสด็จข้ามแม่น้ำทั้ง ๓ สายด้วยรถเทียมม้าโดยทำนองเดียวกับที่พระราชาเสด็จข้าม เสด็จเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่งแล้วทูลถามถึงพระราชสวามีว่าคงจะเสด็จมาที่นี่พร้อมด้วยอ่ามาตย์ราชบริพาร


                    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลด้วยฤทธิ์ให้พระนางอโนชาเทวีและภรรยาอำมาตย์ไม่เห็นสามีของตน แล้วทรงมีพระพุทธดำรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังธรรมก่อนแล้วจักได้เห็นสามีของท่าน ณ ที่นี้เอง” ที่พระองค์ตรัสดังนี้ก็โดยเหตุผลว่า ถ้าหากให้เห็นสามีก่อน อาจจะเกิดความอาลัยอาวรณ์ขึ้นได้ ไม่พร้อมที่จะฟังธรรม


                    ลำดับนั้น พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา ครั้นจบแล้ว พระนางอโนชาเทวีพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็ได้บรรลุธรรมกายพระโสดาเป็นพระโสดาบันในขณะเดียวกัน พระมหากัปปินะเถระและอำมาตย์ภิกษุได้สดับพระธรรมเทศนาที่พระบรมศาสดาทรงแสดงแก่หญิงเหล่านั้นซ้ำอีกครั้ง จึงได้บรรลุธรรมกายอรหัตเป็นพระอรหันต์ ณ ที่นั้นเอง พระบรมศาสดาทรงทราบดังนี้แล้ว ทรงคลายฤทธิ์ให้พระนางอโนชาและภรรยาอ๋ามาตย์ทั้งปวงได้เห็นสามีของตน


                     พระนางอโนชาและภรรยาอำมาตย์ก็ได้ประกาศแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และทูลขอบรรพชาอุปสมบทโดยทั่วหน้ากัน

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.032798449198405 Mins