ศีล คืออะไร
คำว่า ศีล มาจากพระบาลีว่า สีลํ' เป็นคำที่ได้ยินและพูดกันอยู่ประจำในหมู่ชาวพุทธแต่ส่วนใหญ่มิได้กำหนดหรือเข้าใจถ่องแท้ถึงความหมายของคำนี้ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาท่านแสดงคำแปลและความหมายของคำนี้ไว้มากอย่างจนทำให้เกิดความสับสนก็มี ในที่นี้ขอแสดงประเด็นสำคัญของคำนี้ตามคัมภีร์ก่อน แม้จะดูเกินเลยหรือฟุ่มเฟือยไปสักหน่อยก็จําต้องบันทึกไว้เพื่อเป็นองค์ประกอบ
ศีล แปลว่า ความปกติ ที่รองรับ ที่ตั้ง
ที่แปลว่า ความปกติ หมายความว่า ความเป็นผู้มีกิริยาทางกายเป็นต้นสุภาพ เรียบร้อยไม่เกะกะ ไม่พลุ่งพล่านผิดทาง กิริยาเช่นนี้ได้ชื่อว่าศีล
ที่แปลว่า ที่รองรับ หมายความว่า เป็นฐานรองรับกุศลกรรมทั้งหลายคือทำให้บำเพ็ญกุศลกรรมได้สะดวกและรองรับผลของกุศลกรรมนั้นไว้ได้
ที่แปลว่า ที่ตั้ง หมายความว่า เป็นที่ตั้งแห่งอุตตริมนุสสธรรมทั้งปวงคือเป็นฐานที่ตั้งของคุณธรรมที่สูงพิเศษ ที่มนุษย์ปกติทั่วไปไม่อาจถึงไม่อาจมีได้เช่น มรรค ผล หูทิพย์ ตาทิพย์
ในอีกประเด็นหนึ่ง ท่านแสดงความหมายของศีลไว้ ๔ ประการ คือ
๑. สีลัฏฐะ มีความหมายว่า ปกติ มาจากคำว่า สีละ กล่าวคือผู้มีศีลย่อมเป็นคนสงบดำเนินชีวิตไปได้อย่างปกติ ไม่มีพิษภัยกับใคร ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร มีความปลอดภัยเมื่อเข้าใกล้มีกิริยาอาการสงบเรียบร้อยงดงามเป็นปกติ
๒. สิรัฏฐะ มีความหมายว่า เป็นยอด มาจากคำว่า สีละ กล่าวคือเป็นคุณธรรมระดับสูง มีอานุภาพสูงส่ง นอกจากนำให้ผู้ปฏิบัติเป็นยอดคนหรือเป็นคนเหนือคนแล้ว ยังส่งผลให้ปฏิบัติธรรมระดับที่สูงขึ้นโดยสะดวกและได้บรรลุผลสูงสุดคือพระนิพพานได้
๓. สีตลัฏฐะ มีความหมายว่า เย็น มาจากคำว่า สีตละ กล่าวคือนำให้กายวาจาและใจของผู้มีศีลเย็น ไม่พลุ่งพล่าน ไม่ดิ้นรนเร่าร้อน ทำให้ผู้มีศีลเย็นกายเย็นใจ สุขสบาย ทำให้ผู้อยู่ใกล้พลอยเย็นพลอยสดชื่นตามไปด้วย
๔. สิวัฏฐะ มีความหมายว่า เกษม ปลอดโปร่ง มาจากคำว่า สิวะ กล่าวคือนำให้เกิดความเกษม ความปลอดโปร่ง เรียบง่าย และนำให้ถึงแดนเกษมคือพระนิพพานได้ ผู้มีศีลจึงเป็นอยู่อย่างสุขสงบ เกษม ปลอดโปร่ง ไม่มีเวรภัยอะไรกับใคร
พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ผู้ได้รับยกย่องให้เป็นเอตทัคคะคือเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านมีปัญญามากได้กล่าวถึงเรื่องศีลไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทมรรคว่า
“เจตนา สีลํ เจตนาเป็นศีล เจตสิกํ สีลํ เจตสิกเป็นศีล สํวโร สีลํ สังวรเป็นศีล อวีติกฺกโม สีลํ การไม่ล่วงละเมิดเป็นศีล”
มีคําอธิบายว่า
เจตนาเป็นศีล คือเจตนาหรือความตั้งใจของบุคคลผู้งดเว้นหรือผู้ละอยู่จากบาปธรรม คือ จากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกามจากการพูดเท็จ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ คือเจตนาของผู้งดเว้นจากกายทุจริตและงดเว้นจากวจีทุจริต หรือเจตนาของบุคคลผู้กำลังบำเพ็ญวัตรปฏิบัติอยู่ เจตนาเช่นนี้แหละจัดเป็นเจตนาศีล
เจตสิกเป็นศีล คือกุศลธรรมทั้งหลายซึ่งได้แก่ความไม่โลภ ความไม่พยาบาท ความเห็นชอบ อันเป็นมโนสุจริต หรือเจตนาที่งดเว้นจากมโนทุจริตคือความโลภ ความพยาบาท ความเห็นผิด ภาวะเหล่านี้จัดเป็นเจตสิกศีล
สังวรเป็นศีล คือความสำรวม ความระมัดระวังในพระปาฏิโมกข์ ในอินทรีย์คือจักษุ ในสติอันเป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลสซึ่งจะพึงให้เด็ดขาดได้ด้วยปัญญาในความทนได้ต่อความร้อนความหนาวในความไม่ให้กามวิตกที่เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ในภายใน ความสำรวมระมัดระวังเหล่านี้จัดเป็นสังวรศีล
การไม่ล่วงละเมิดเป็นศีล คือการไม่ล่วงละเมิดที่เป็นไปทางกายและที่เป็นไปทางวาจาของบุคคลผู้สมาทานศีลแล้ว นี้จัดเป็นวีติกกมศีล (ศีลคือการไม่ล่วงละเมิด)
เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ย่อมได้ความหมายว่า
ศีล คือความสํารวมระวังกายวาจาให้เป็นไปตามปกติประจำวัน ให้สงบเย็นเรียบร้อย ไม่กระทำหรือพูดหลงผิดเกินเลยจนทำให้ผู้อื่นและตนเองเดือดร้อน รวมถึงความตั้งใจปฏิบัติไม่ล่วงละเมิดกฎระเบียบที่สังคมกำหนดไว้เป็นข้อปฏิบัติสำหรับสังคมอันนี้เรียกได้ว่าเป็นศีล