ศีล ๕ เป็นหลักมนุษยธรรม
โลกของเรานี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน มนุษย์เราที่เกิดอยู่ในโลกก็เช่นเดียวกัน รู้กันว่าวิวัฒนาการผ่านช่วงเวลาสืบสานกันมาทีละน้อยจนกระทั่งมีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เห็นกันอยู่ปัจจุบันบรรพบุรุษของมนุษย์เราโชกโชนในการดำรงชีพ ในการดำรงเผ่าพันธุ์ค่อยๆ เสริมสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาทีละนิดๆ จนเป็นปึกแผ่น ซึ่งเมื่อก่อนก็ดำรงชีพเหมือนกับสัตวโลกอย่างอื่น เข่นฆ่า แย่งชิง รุกราน เอารัดเอาเปรียบกัน หาไมตรีกันได้ยาก จนกระทั่งเกิดความคิดความอ่าน กำหนดกฎเกณฑ์และลงโทษปราบปรามผู้ทำผิดกฎเกณฑ์ จนกระทั่งยอมรับและปฏิบัติตามกันเป็นส่วนใหญ่ โลกจึงสงบขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์ค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ มีวัฒนธรรมที่ดีงามและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ศีล ๕ เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่กำหนดวางกันขึ้นไว้ และปฏิบัติตามกันจนเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ เพราะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้จึงทำให้พฤติกรรมของมนุษย์ดีขึ้นและแตกต่างจากสัตว์โลกอื่นๆ และยอมรับกันว่ากฎเกณฑ์นี้เป็น มนุษยธรรม คือเป็นหลักปฏิบัติของมนุษย์
มนุษย์อาศัยหลักมนุษยธรรมนี้เป็นหลักปฏิบัติ ทำให้อยู่สุขสงบ ดำรงชีพด้วยความสุจริต รู้จักเคารพกรรมสิทธิ์ของกันและกัน มีความจริงใจซื่อสัตย์ต่อกัน และมีสติสัมปชัญญะในการดำรงตน แม้จะมีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ตระหนักในหลักนี้ ประพฤติล่วงละเมิดในบางเรื่องบางอย่าง แต่ก็ยังรักษาหลักส่วนใหญ่ไว้ได้ แม้จะทำให้หมู่คณะเดือดร้อนไม่สงบบ้างในบางเรื่องบางเวลา ก็ยังอยู่กันอย่างสันติได้ อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าพออยู่กันได้ ยังมีอิสระไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัยพอสมควร หรือมีมนุษย์ส่วนหนึ่งละเมิดกฎเกณฑ์นี้กันอยู่ประจำ ก็ป้องกันและลงโทษกันโดยกำจัดเสียบ้าง จับกุมคุมขังให้อยู่ในที่เฉพาะมิให้ออกมาเพ่นพ่านข้างนอกบ้าง เป็นต้น ก็ทำให้โลกมนุษย์เย็นลงและปลอดภัยไปส่วนหนึ่ง
ส่วนใดของครอบครัว ของสังคม ของโลก ยังเดือดร้อนวุ่นวาย ไร้ความปลอดภัย ไร้ความสงบ แสดงว่าส่วนนั้นผู้คนยังขาดหลักมนุษยธรรมนี้กันอยู่แม้จะมีเพียงไม่กี่คน และขาดหลักนี้ไม่กี่ข้อ ก็ทำให้เกิดภาวะเช่นนั้นแล้ว
ตรงกันข้าม ครอบครัวที่อบอุ่น สังคมที่ปลอดภัย โลกส่วนที่สงบสุขแสดงว่าในที่นั้นในส่วนนั้นหลักมนุษยธรรมยังมั่นคง ยังได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีอยู่
พูดถึงเรื่องศีล ๕ อันเป็นหลักมนุษยธรรมนี้ ทำให้นึกได้ว่า หลักนี้แม้จะเป็นหลักของมนุษย์ทั่วไปและมีมานานแล้ว มนุษย์ทั่วไปก็รับรู้รับทราบและปฏิบัติตามกันดีอยู่ เหมาะที่จะเรียกว่ามนุษยธรรมแท้จริง แต่ก็มีมนุษย์ไม่น้อยที่ลืมตัวหรือลืมคิดว่าอันนี้เป็นหลักปฏิบัติของตนด้วย มิใช่เฉพาะของคนอื่นจำเป็นที่ตนจะปฏิบัติตาม ละเว้นมิได้ ล่วงละเมิดมิได้ เพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมอย่างปกติสุข แต่ก็ยังมีการละเมิดกันอยู่ จงใจบ้าง ไม่จงใจบ้าง ที่ไม่จงใจไม่มีเจตนาก็พอทำเนา ที่จงใจล่วงละเมิด ทำผิด ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นละเมิดกฎเกณฑ์นี้เนืองๆ จะด้วยไม่รู้ ด้วยไม่สนใจเรื่องกฎเกณฑ์ หรือด้วยเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจอย่างไรก็แล้วแต่ แม้จะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จะว่าเสียสติหรือไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะในทางดีมาก็เชื่อได้ไม่เต็มที่นัก เพราะบางครั้งสติปัญญาดีกว่าคนธรรมดา หรือได้รับการอบรมมาอย่างดีเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยังทำอยู่ นี่แสดงว่าเอาไม่อยู่จริงๆ จนถึงกับต้องลงโทษหนักๆ กัน เพื่อให้สังคมอยู่เป็นปกติสุข
ถ้าอย่างนี้ ก็ต้องโทษผู้ทำผิดหลักมนุษยธรรมนี้เป็นสำคัญ จะน่าเห็นใจน่าสงสาร หรือน่าให้อภัยอย่างไรก็ไม่ถนัด จำต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติ
ถ้าใช้กฎหมายมาลงโทษจำคุกจำขังได้ก็ลงโทษตามกฎหมาย ถ้าลงไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ต้องใช้กฎสังคมลงโทษ คือปล่อยให้โดดเดี่ยวไม่คบหาสมาคมด้วย ถ้ากฎสังคมก็ลงโทษไม่ได้ ก็ยังมีกฎอีกอย่างหนึ่งจะลงโทษเองกฎนั้นคือ “กฎแห่งกรรม” กฎนี้ไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีพวก ไม่กินสินบนยุติธรรมที่สุด แต่กฎนี้มักจะไม่ทันใจคน เพราะเป็นไปอย่างละเอียดล่าช้าจนดูเหมือนจะปล่อยวางคนทำผิดทำชั่ว ถึงกับเข้าใจผิดคิดไปว่า “ทำดีไม่ได้ดีทำชั่วไม่ได้ชั่วจริง” อะไรทำนองนี้
แต่จะอย่างไรก็ตาม ศีล ๕ ก็ยังเป็นหลักมนุษยธรรม คอยปกปักรักษาคอยอุ้มชูให้มวลมนุษยโลกอยู่กันอย่างปลอดภัย มีความสุข ไปมาหาสู่กันได้อย่างปกติ ตราบเท่าที่มนุษย์ทั้งหลายยังปฏิบัติตามหลักนี้กันอยู่เป็นส่วนใหญ่