พลิกชีวิตเพราะมีกัลยาณมิตร
เมื่อแบ่งทีมออกไปเชิญชวนให้ผู้มีบุญมาร่วมกันเลี้ยงพระให้ครบตามจำนวนแล้ว มานพหนุ่มผู้มีหัวใจอันยิ่งใหญ่ท่านนั้นก็ไปชักชวนผู้คนมาร่วมเป็นเจ้าภาพ โดยไม่เลือกว่าใครมีฐานะอย่างไร ทั้งคนชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นล่าง ตั้งแต่เศรษฐีจนถึงยาจก วณิพก
พอท่านมาเจอมหาทุคตะจึงแจ้งข่าวบุญว่า “พรุ่งนี้จะมีการถวายสังฆทานครั้งใหญ่ นิมนต์พระถึง ๒๐,๐๐๐ รูป เธอรับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสักรูปหนึ่งสิ ชาติต่อไปจะได้ไม่ยากจนอย่างนี้”
มหาทุคตะฟังแล้วสะกิดใจขึ้นมาว่า “เอ๊ะ คนอย่างฉันทำได้หรือนี้” เนื่องจากเขาต้องหาเช้ากินค่ำทุกวัน เงินทองและอาหารมีไม่ค่อยเพียงพอ แต่ผู้นำบุญท่านนั้นตอบว่า “ทำได้สิ” คนเราจะทำอะไรก็ตาม เพียงแค่มีตัวกับหัวใจที่เอาจริง ก็สามารถทำได้ ดังนั้นใครที่ยังคิดว่าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ให้ดูเรื่องของมหาทุคตะเป็นตัวอย่าง
เมื่อได้ยินผู้นำบุญกล่าวเช่นนั้น ในที่สุดมหาทุคตะก็เกิดกำลังใจฮึกเหิมตอบตกลงด้วยความปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างมากว่า “เอ้า ถ้าอย่างนั้นฉันรับรูปหนึ่งแล้วกัน” จากนั้นมหาทุคตะก็ได้เดินทางกลับบ้านด้วยความปลื้มปีติอาจหาญ ร่าเริงเบิกบาน เขาเดินร้องเพลงไปตลอดทาง เป็นเรื่องที่น่าแปลก เวลาคนเรากำลังจะได้ทําบุญใหญ่ แม้ตากแดดตากลม แต่ผิวพรรณวรรณะกลับดู
ผ่องใส มหาทุคตะก็เช่นกัน
นี้คือกิริยาอาการของผู้ที่จะได้สร้างบุญใหญ่ คนที่คิดว่าชาตินี้ตนเองคงทำบุญไม่ได้เพราะยากจนเหลือเกิน ยังต้องรับประทานอาหารที่เหลือจากพระภิกษุ เมื่อตัดสินใจรับปากทำบุญ ทั้งๆ ที่เวลานั้นปัจจัยยังไม่มีเลย แต่กลับเกิดความปลื้มปีติมากมาย
เมื่อมหาทุคตะเดินทางกลับถึงบ้าน ภรรยาเห็นเขาก็รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมวันนี้พ่อบ้านดูมีผิวพรรณวรรณะเปล่งปลั่งผ่องใสกว่าเดิม ดูสดชื่นเดินยิ้มมาแต่ไกล นางจึงถามสามีถึงเรื่องราวที่ทำให้ดูมีความสุขได้ขนาดนี้
มหาทุคตะเล่าให้ฟังว่า “วันนี้ฉันรับปากกับผู้มีบุญท่านหนึ่งว่า จะเลี้ยงพระ ๑ รูป ในวันพรุ่งนี้ ก็เลยดีใจ” ฝ่ายภรรยารู้สึกฉงนใจ เนื่องจากทุกวันก็แทบจะหาเลี้ยงตนเองไม่พออยู่แล้ว บางทีต้องไปขอเขากิน แล้วจะมีปัญญาไปเลี้ยงพระได้อย่างไร
แต่คนเราเมื่อตั้งใจแล้ว แม้มีแค่ตัวกับหัวใจที่มุ่งมั่นจะทำความดีสร้างบุญบารมีอย่างไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรค ไม่นานก็จะสามารถแสวงหาหนทางและวิธีการไปทำในสิ่งที่ตนตั้งใจไว้ได้สำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องกล้าคิด กล้าตัดสินใจที่จะทำก่อน
หลังจากนั้น สามีภรรยาได้หารือกันว่า “เราได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลายครั้ง แต่ใจมัวแต่รอคอยว่าเมื่อไรพระจะฉันเสร็จ จะได้ขออาหารจากท่าน แม้กระนั้นพระธรรมคำสอนก็ผ่านเข้าไปในใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการทำทาน ซึ่งพระองค์ทรงเทศน์อยู่บ่อยครั้งว่าที่เรายากจนนี้เป็นเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำทานเอาไว้ถ้าหากคราวนี้เราไม่ได้ทําทานอีก ชาติต่อไปคงจะต้องประสบกับความยากจนยิ่งกว่าชาตินี้แน่” เพราะฉะนั้นชาตินี้จึงตกลงยินยอมพร้อมใจกัน
ทำบุญเลี้ยงพระสักองค์
โชคดีที่มหาทุคตะได้กัลยาณมิตรมาชักชวน แจ้งข่าวบุญใหญ่โดยไม่เลือกชนชั้น หรือไปคิดแทนว่า คนอย่างมหาทุคตะที่ลำบากยากจนขนาดนั้นคงทําไม่ได้ แต่กลับให้โอกาสและยังพูดยกใจ ทำให้มหาทุคตะมีโอกาสได้คิดและมั่นใจว่า ตนเองสามารถทำบุญทำทานเลี้ยงพระได้เช่นกัน
ที่สำคัญคือ มหาทุคตะเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุถึง ๒๐,๐๐๐ ปี นั่นหมายความว่า หากไม่ได้ผู้นำบุญท่านนี้ไปชักชวนให้ทำบุญเลี้ยงพระ มหาทุคตะจะต้องลำบากยากจนอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ไปอีกยาวนานแม้กระทั่งละโลกไปแล้วและไปเกิดในภพชาติต่อๆ ไป ก็ยังจะต้องเกิดมาลำบากเช่นนี้หรือมากกว่านี้ ถ้าหากชาติหน้าเขาไม่เจอกัลยาณมิตรมาให้แสงสว่างแก่ชีวิต มาชักชวนให้สร้างมหาทานอีก ก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะต้องประสบความยากจนแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร ซึ่งนับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่เกิดมาในยุคที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นแต่ไม่ได้ถวายทานกับพระองค์หรือพระสาวก
ผู้นำบุญท่านนี้จึงเป็นยอดกัลยาณมิตร ที่ทำให้มหาทุคตะเลิกยากจนและกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้นทีเดียว จากชีวิตที่เคยยากจนที่สุดพลิกผันมาเป็นร่ำรวยที่สุด มีสมบัติมากมายขนาดที่บุตรเอาโคตรเพชรมาขว้างเล่นเพื่อหยอกล้อกัน รวยมากขนาดนั้นทีเดียวนอกจากนั้นยอดกัลยาณมิตรท่านนี้ยังช่วยให้มหาทุคตะมีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิมากขึ้นไปอีก เท่ากับว่าได้ช่วยฟื้นฟูฐานะและสถานภาพของมหาทุคตะข้ามชาติเลย เพราะท่านมีส่วนช่วยให้มหาทุคตะได้โลกียทรัพย์ในชาตินี้และได้อริยทรัพย์ในพุทธันดรต่อมาอีกด้วย