.....ในความมืดมิด รู้สึกเหมือนว่าร่างทั้งร่างถูกโยกเขย่าอย่างรุนแรง กว่าจะรู้สึกว่ามีสิ่งของร่วงลงมากระทบแขนขาและเนื้อตัว พื้นพสุธาก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนโกลาหลอย่างยิ่งแล้ว เด็กหญิงตกใจตื่น เห็นแต่ความมืดปกคลุมอยู่ทั่ว เหมือนได้ยินเสียงร้องอย่างตระหนกของพ่อกับแม่ แผ่นดินยังคงสั่นสะเทือน เธอตกใจจนร้องตะโกนขึ้นว่า “ แผ่นดินไหว แผ่นดินไหว ” ไม่รู้อะไรต่อมิอะไรตกจากเบื้องบนลงมากระทบพื้นแตกหัก
เธอรีบลุกขึ้น เหยียดเท้าควานหารองเท้าแตะบนพื้น แต่ควานหาอย่างไรก็ไม่พบ ได้ยินเสียงดังสับสนอึงคะนึงอยู่ทั่วไป แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ คล้ายกับว่าพ่อเข้ามาถึงตัว มีเสียง “ โครม ” ดังสนั่น แล้วเธอก็หมดสติไป
เมื่อคืนสติ เด็กหญิงรู้สึกเจ็บที่ศรีษะอย่างรุนแรง คงจะถูกอะไรสักอย่างที่พังลงมากระแทกเอา เมื่อพยายามจะลุกขึ้น นั่นแหละจึงได้รู้ตัวว่าเหตุการณ์ช่างเลวร้าย บ้านทั้งหลังแปรรูปเปลี่ยนโฉมไปหมดสิ้นแล้ว
ขาของเธอถูกกระจกบาดเลือดไหลนองพื้น ประตูบ้านหายไป คนที่นอนอยู่ข้างๆ คือพ่อที่หมดสติเรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น เธอยื่นมือไปอังที่จมูกพ่อ ดีใจที่พ่อยังมีลมหายใจ เห็นคานทับอยู่บนหลังของพ่อ จึงรู้ทันทีว่าพ่อเอาแผ่นหลังเข้ามารับไม้คานที่ร่วงลงมาจะทับเธอได้ทันเวลา เธอจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
คนข้างนอกใช้เลื่อยตัดลูกกรงเหล็กออก ขณะถูกลากออกมานอกบ้าน เด็กหญิงไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของร่างกาย ชี้ไปที่ข้างหลังบอกอย่างอ่อนแรงว่า “ พ่อหนู ! รีบๆ หน่อย พ่อหนูอยู่ข้างใน … ช่วยพ่อหนูออกมาด้วย ” ชั่วขณะที่เปลหามถูกแบกออกไปจากซากปรักหักพัง แผ่นดินไหวสะเทือนขึ้นอีกระลอก ช่องทางที่ถูกเจาะออกเพื่อลากเธอออกมาเมื่อครู่ถล่มปิดลง เธอกรีดร้องเสียงแหลม รู้ดีว่านับจากนี้ไปจะไม่มีวันได้พบพ่ออีกแล้ว !
อีกสองสามชั่วโมงต่อมา เธอรับรู้ว่า แม่และน้องชายก็ถูกฝังอยู่ใต้ซากอาคารนั้นเช่นกัน เป็นตายยังไม่รู้ หลังจากเวลาผ่านไปหลายวัน ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ ปรากฏให้เห็น เธอจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารในชั่วข้ามคืน !
เด็กหญิงเหม่อมองเพดานด้วยสายตาเลื่อนลอย เธอพบความจริงว่า
… ยามอยู่บนเตียงคนป่วย แม้มีคนที่รักเราที่สุดยืนอยู่รอบด้าน ทำได้อย่างมากแค่เพียงยืนดู
ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้ …
… ยามอยู่บนเตียงคนป่วย … เป็นเวลาอ้างว้างโดดเดี่ยวที่สุดในชีวิต … ที่ทุกคนต้องเจอ
… จะมีใครบ้าง .. เตรียมใจรอรับวันนั้นแล้วหรือยัง !…
อุบลเขียว