พญานาค ตำนาน..ความเชื่อ.หรือความจริง?

วันที่ 28 ตค. พ.ศ.2547

 

......ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ที่เกิดขึ้นในวันออกพรรษาของทุกๆ ปี ที่จังหวัดหนองคาย ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางใน สังคมไทยยุคไฮเทค ซึ่งข้อถกเถียงต่างๆ ก็ล้วนตั้งอยู่บนสมมุติฐานใหญ่ๆ ๒ ประการ คือ

 

๑. สมมุติฐานที่ไม่เชื่อว่าพญานาคมีจริง กลุ่มนี้เห็นว่า พญานาคเป็น เรื่องปรัมปราที่เล่าสืบต่อๆ กันมา จึงไม่เชื่อว่า ดวงไฟที่ลอยขึ้นมาจากลำน้ำ โขงคือ บั้งไฟพญานาค ดังนั้น จึงมีการตั้งสมมุติฐานกันว่า อาจจะเกิดจาก ฝีมือของมนุษย์ หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มาพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า เกิด จากอะไรกันแน่

 

๒. สมมุติฐานที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง กลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่เคารพนับถือพญานาคสืบเนื่องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษยาวนานนับพันปี รวมไปถึง ชาวพุทธที่ศึกษาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดความเชื่อมั่นว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ชีวิตในโลกหน้ามีจริง ซึ่งพญานาคก็เป็น ภพภูมิหนึ่งของชีวิตหลังความตาย ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของกฎแห่งกรรม

 

       ดังนั้น หากเราต้องการพิสูจน์เรื่องพญานาค ก็ควรเปิดใจศึกษาข้อมูล จากทั้งสองฝ่าย แต่จนถึงขณะนี้ กลุ่มแรกก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ใดๆ มายืนยันได้อย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มที่สองก็มีหลักฐานเก่าแก่อันทรง คุณค่ายิ่ง คือ พระไตรปิฎก ที่เป็นแหล่งรวบรวมความรู้อันบริสุทธิ์ขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สืบต่อกันมาตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพานนาน ถึงสองพันกว่าปี

 

หลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎก

 

ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงเรื่องราวของพญานาคมากมายหลายแห่ง ด้วยกัน นับเป็นข้อมูลที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาส ได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้มากนัก

 

“ พญานาค” หรือ “ นาคราช” หมายถึง กายทิพย์ชนิดหนึ่ง จัดเข้าในเดรัจฉาน ภูมิ เป็นสัตว์ที่เป็นทิพย์ เป็นราชาแห่งงู ประดุจราชาแห่งมนุษย์ ในสุทธกสูตร กล่าวถึงพญานาคว่า มีกำเนิด ๔ อย่างคือ ๑.เกิดในฟองไข่ เรียกว่า อัณฑชะ ๒.เกิดในครรภ์ เรียกว่า ชลาพุชะ ๓.เกิดในสิ่งที่ไม่สะอาดหมักหมม ในเหงื่อ ไคลเรียกว่า สังเสทชะ ๔.เกิดแล้วโตทันที เรียกว่า โอปปาติกะ (สุทธกสูตร มก.๒๗/๕๕๖)

 

ใน “ ทานูปการสูตร” ได้กล่าวถึงเหตุแห่งการเกิดเป็นนาคเอาไว้ว่า เป็น เพราะมนุษย์บางคนได้ฟังมาว่า พญานาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีความ สุขมาก พวกเขาจึงตั้งความปรารถนาว่า เมื่อตายไปแล้ว ขอให้ได้ไปเกิดเป็น พญานาค ในกำเนิดทั้ง ๔ ตามที่ตัวเองต้องการ และยังได้ให้ทานวัตถุ ๑๐ อย่าง มีข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีป และได้อธิษฐานจิตไปเกิดเป็นพญานาค เมื่อตายไปก็ได้เกิดเป็น พญานาคสมความปรารถนา (ทานูปการสูตร มก.๒๗/๕๖๔)

 

      ในอีกพระสูตรหนึ่งคือ “ อหิตสูตร” ได้แบ่งพญานาคในกำเนิดทั้ง ๔ ดังกล่าว ออกเป็น ๔ ตระกูลด้วยกัน คือ ๑.ตระกูลวิรูปักขะ เป็นพญานาคที่ มีผิวกายเป็นสีทองคำ ๒.ตระกูลเอราปักถะ มีผิวสีเขียว ๓.ตระกูลฉัพยา ปุตตะ มีผิวสีรุ้ง ๔.ตระกูลกัณหาโคตมะ มีผิวสีดำ (อหิตสูตร มก.๓๕/๒๑๕)

 

       พญานาคที่เป็นใหญ่กว่านาคทั้งปวงคือ “ ท้าววิรูปักข์” ซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ มหาราช ที่ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา โดยท้าววิรูปักข์จะปกครอง อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ

 

       สำหรับถิ่นที่อยู่อาศัยของนาคแตกต่างกันไป ในอรรถกถาบันทึกไว้ว่า พญานาคบางจำพวกก็อาศัยอยู่ใต้ทะเลใหญ่ เช่น วรุณนาคราช ที่เคย ประโคมดนตรีถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวก มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ในพิภพใต้ทะเลที่กว้างใหญ่ถึง ๕๐๐ โยชน์ และเสวยทิพยสมบัติดุจดั่งท้าวสักกะเทวราช

 

       พญานาคบางพวกชอบอาศัยอยู่ในแม่น้ำ เช่น กาฬนาคราช ที่อาศัย อยู่ใต้แม่น้ำเนรัญชรา จะตื่น ขึ้นครั้งหนึ่งในวันที่พระโพธิสัตว์ลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา ก่อนจะตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

พญานาคแม่น้ำโขงที่มา “ บั้งไฟพญานาค”

 

      แต่สำหรับพญานาค ในแม่น้ำโขงนั้น แม้จะไม่มี บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก แต่ ผู้ที่นั่งสมาธิจนมีรู้มีญาณ ต่าง ก็ยืนยันตรงกันว่า พญานาค ในแม่น้ำโขงนั้นมีอยู่จริง และยังสามารถบรรยายถึง ลักษณะรูปร่างของพญานาค โดยจำลองออกมาเป็นภาพ วาดให้ดู นอกจากนี้ยังสามารถบอกได้อีกด้วยว่า พญานาคลำน้ำโขงนั้นมีถิ่นที่อยู่เป็นเมืองที่อยู่ ใต้ท้องแม่น้ำโขง ลึกลงไปใต้แผ่นดินที่รองรับน้ำ ในแม่น้ำโขงอยู่ไม่มากนัก ซึ่งเป็นภพละเอียดที่ ซ้อนอยู่กับโลกมนุษย์ของเรา

 

      เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีพัฒนาการมาเพียง ๑๐๐ ปีเศษ กับข้อมูลจากผู้ที่พบเห็นในพื้นที่จริง ณ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ซึ่งสืบทอดความรู้มาหลายร้อยปี รวมทั้งข้อมูลยืนยันเรื่องพญานาคที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ทำให้พอสรุปได้ว่า บั้งไฟพญานาคมีจริง หาใช่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแต่อย่างใด และแน่นอนว่า ทุกปี ในวันออกพรรษาของประเทศลาว วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีนี้ตรงกับ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗ พญานาคใต้ลำน้ำโขง ซึ่งมีตัวตนจริงและรอการพิสูจน์ด้วยตามนุษย์ทุกคน โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องตาดีและมีบุญ เท่านั้น !!!

 

www.dmc.tv

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.019516313076019 Mins