.....พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำว่า กิเลสทั้ง 3 ตระกูล โลภะ โทสะ โมหะ เป็นมลทิน เป็นอมิตร เป็นข้าศึกศัตรู และเป็นเพชรฌฆาตในจิตใจคนเรา มีอำนาจปกคลุมครอบงำใจคนให้มืดตื้อ มืดมิด ไม่เห็นธรรม กลายเป็นคนพาล บางขณะก็กระตุ้นจิตใจให้กำเริบ จึงคิดทำเรื่องชั่วร้าย รุนแรง มีโทษภัยและอันตราย บางขณะก็บีบคั้นจิตใจให้เจ็บปวดรวดร้าว จึงคิดอาฆาตพยาบาท มุ่งทำลายล้างผลาญชีวิตศัตรูคู่อาฆาต บางขณะก็ชำแรกแทรกซึม เอิบอาบเข้าไปในจิตใจ จนทำให้จิตใจอ่อนแอ หมดสมรรถภาพที่จะสรรค์สร้างคุณความดี บางขณะก็ปกคลุมจิตใจจนมืดตื้อ มืดมิด คิดทำแต่ความชั่ว โดยไม่รู้สึกว่านั่นคือความชั่ว เพราะไม่มีปัญญาตรองหาเหตุผลที่เหมาะสมถูกต้องตามความเป็นจริง
.....นอกจากนี้ คนพาลทั้งหลาย เมื่อประสบปัญหาเดือดร้อน แทนที่จะคิดตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการหาทางระงับความเดือนร้อนนั้น กลับสร้างปัญหาให้ยืดเยื้อต่อไปอีก ตัวอย่างเช่น ในกรณีของคู่รัก ดังที่เกิดเป็นข่าวบ่อยๆ เมื่อฝ่ายหนึ่งตีจาก ฝ่ายที่อกหัก เป็นทุกข์มากยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แทนที่จะคิดหาทางแก้ปัญหาด้วยความยุติปัญหา แต่กลับคิดพยายามเอาชีวิตของอดีตคู่รักที่ตีจากไปนั้นมาเพิ่มปัญหาอีก ขณะที่ความพยายามยังไม่สัมฤทธิผล ตนเองก็กลุ้มกลัด ฟุ้งซ่าน วุ่นวายใจกับการวางแผนฆาตกรรม จนหาความสงบในไม่ได้
......ครั้นเมื่อกระทำตามความแค้นได้สำเร็จ แทนที่จะมีความสุข กลับต้องทุกข์มากขึ้นอีกร้อยเท่า พันทวี เพราะต้องพยายามคิดหาทางต่อไปอีก เพื่อป้องกันตนให้พ้นผิดกฎหมายบ้านเมือง นับตั้งแต่ทำการทำลายหลักฐาน เป็นต้น เหล่านี้คือการแก้ปัญหา ด้วยการสร้างปัญหาของคนพาล
......ถามว่าเหตุใด ปุถุชนหรือคนพาล จึงแก้ปัญหาความเดือดร้อนของตน ด้วยการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น?
.....คำตอบโดยรวมก็คือ ปุถุชนหรือคนพาลทั้งหลาย จิตใจมืดตื้อ มืดมิด เพราะถูกกิเลสปกคลุมหุ้มห่อ ทำนองเดียวกับดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบัง ฉะนั้น
......สภาวะจิตใจเช่นนี้เอง ที่ทำให้คนพาลไม่เห็นธรรม ไม่มีปัญญาตรองหาเหตุผลตามความเป็นจริง จึงขาดความเข้าใจถูกหรือเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องโลกและชีวิตตามความเป็นจริง ซึ่งส่งผลให้คนพาล คิดผิด พูดผิด และทำผิด โดยไม่รู้สึกผิด จนเป็นลักษณะนิสัย นี่คืออันตรายของกิเลส เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งที่คนเราจะต้องร่วมมือกันป้องกันมิให้กิเลสกำเริบขึ้นในจิตใจของตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามกำจัดกิเลสที่กำเริบขึ้นในจิตใจแล้ว ให้ลดน้อยลงตามลำดับๆ มิฉะนั้นสังคมก็จะมีแต่ปัญหาเลวร้ายมากมาย นับตั้งแต่ปัญหาระหว่างบุคคล ระหว่างชุมชน ลุกลามไปจนกลายเป็นสงครามระหว่างเชื้อชาติ ระหว่างศาสนา ระหว่างประเทศ และกลายเป็นสงครามโลกในที่สุด
........กระบวนวิธีในการปฏิรูปมนุษย์
.....ย่อมทราบชัดแล้วว่า สาเหตุพื้นฐานของปัญหายุ่งยากวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงของผู้คนในสังคม คือจิตใจที่ถูกห่อหุ้มปกคลุมด้วยกิเลส ยังผลให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องโลกและชีวิตตามจริง เพราะเข้าใจผิด จึงเป็นผลให้คิดผิด พูดผิด และทำผิดตามลำดับ
.....เมื่อทราบชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงแล้ว การแก้ปัญหา จำเป็นต้องตั้งตนแก้กันที่สาเหตุ โดยดำเนินกระบวนวิธีในการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง จึงจะสัมฤทธิผลจริงจัง
......อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะดำเนินการแก้ปัญหา ก็ควรจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของใจคน เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย กล่าวคือ ธรรมชาติของใจคนตั้งแต่เป็นทารกลืมตามาดูโลกนั้น มีลักษณะประภัสสร คือผุดผ่อง หมดจด เป็นประกาย ใสสว่าง อาจเปรียบได้กับดวงแก้วเจียระไนที่ไร้มลทิน ดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ ที่ไร้เมฆหมอกเคลื่อนมาบดบัง แต่ทว่าความใสสว่างของดวงใจทารกแต่ละคน อาจจะมากน้อยแตกต่างกัน โดยมีปริมาณของกิเลสที่ซ่อนตัวแอบแฝงนิ่งสนิทอยู่ในใจของทารกเองเป็นต้นแปรผกผัน ถ้ากิเลสมีจำนวนน้อย ความใสสว่างก็มีมาก
.....กิเลสเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและฝังแน่นอยู่ในใจของคนเรามาตั้งแต่เกิด ถ้ามีกามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาเร้าใจ กิเลสก็จะกำเริบฟูขึ้น ปกคลุมจิตใจให้มืดตื้อ มืดมิด นั่นคือถ้าไม่ถูกสิ่งเร้ากระตุ้น กิเลสก็จะนอนนิ่งเฉยอยู่ในใจ โดยไม่แสดงฤทธิ์เดชใดๆ ให้ปรากฏ
......นอกจากนี้บุคคลใดที่มีใจมืดตื้อ มืดมิด ด้วยอำนาจกิเลส หากตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนแนะนำ ตามท่านผู้รู้ อย่างต่อเนื่อง เอาจริงเอาจง วันหนึ่งใจของบุคคลนั้นก้จะใสสวางขึ้นได้ เพราะอำนาจมืดของกิเลสได้ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ทำนองเดียวกับมวลเมฆที่บดบังดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ได้ถูกขับไล่ให้เคลื่อนคล้อยจากไปด้วยแรงลม
สุ. พูนพิพัฒน์.