คำถาม..มีผู้สงสัยว่า พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอดเมื่อมรณภาพลง และฌาปนกิจศพแล้ว กระดูกจะกลายเป็นพระธาตุได้อย่างไรครับ ?
คำตอบ..เรื่องนี้อธิบายได้ด้วยวิชาเคมี โชคดีว่าก่อนที่หลวงพ่อจะบวชได้มีโอกาสรวบรวมพระธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุอยู่พอสมควร เราเรียกชื่อแตกต่างกันไป คือ
.....พระบรมสารีริกธาตุ หมายถึง กระดูกหรือพระอัฐิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.....ส่วนพระธาตุ หมายถึง อัฐิของพระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับพระอรหันต์ลงมาจนถึงพระโสดาบัน รวมทั้งอัฐิของนักบวชที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านอื่นๆ อัฐิหรือพระธาตุของนักบวชที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านี้ แต่ละท่านก็ยังมีลักษณะแตกต่างกันไป
.....หลวงพ่อได้สะสมสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ก่อนบวช ได้สัมผัสมากับมือจึงพอจะเข้าใจว่ากระดูก หรืออัฐิกลายเป็นพระธาตุได้อย่างไร ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องการกลั่นธาตุนั่นเอง
.....ในทางวิชาเคมีการกลั่นธาตุนั้น เราใช้คำว่าถลุง เช่น ถลุงเหล็ก ถลุงทองคำ วิธีถลุง เราถลุงด้วยไฟ ด้วยกรดหรือด้วยด่าง แต่ถ้าเป็นคนซึ่งทั้งเนื้อทั้งตัว คือองค์ประกอบของธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งรวมตัวกันถูกส่วนพอเหมาะที่จะเป็นคน
.....ถ้าจะให้บริสุทธิ์เป็นคนสมคน ต้องใช้ศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นอุปกรณ์การถลุงบ้าง ใช้หิริโอตตัปปะ ใช้พรหมวิหาร ๔ ไปถลุงบ้าง หรือถ้าผู้ใดใช้มรรคมีองค์ ๘ ไปถลุง ก็จะยิ่งได้ความบริสุทธิ์เต็มที่ทั้งเนื้อทั้งตัว พระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ ข้อนั่นแหละ คืออุปกรณ์การถลุงธาตุในตัวของคนให้บริสุทธิ์ขึ้นมาตามลำดับๆ ในทางธรรม เรียกว่า การกลั่นธาตุ
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกลั่นธาตุของพระองค์ด้วยธรรมะมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว แม้แต่อัฐิก็มีลักษณะใสเป็นแก้ว กลมคล้ายๆ ไข่มุก ตามคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระองค์ได้ทรงอธิษฐานให้อัฐิของพระองค์แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ๘๔,๐๐๐ ชิ้น เท่าจำนวนธรรม ๘๔,๐๐๐ ข้อที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ ส่วนพระธาตุของพระอรหันต์มีลักษณะกึ่งหินกึ่งกระดูกมีสีและขนาดแตกต่างกันไป เท่าที่ได้เคยเห็นเคยหยิบมากับมือก็อย่าง เช่น พระสารีบุตร มีลักษณะเหมือนบาตรคว่ำ แม้ชิ้นที่ใหญ่ขนาดหัวแม่มือก็คล้ายบาตรคว่ำ พระโมคคัลลานะ มีลักษณะเหมือนไข่นกปรอด มีสีคล้ายๆ หวายตะค้า พระนางพิมพาเถรี มีลักษณะเหมือนแป้งหยด เป็นหยดเหมือนหยดแป้งดินสอพอง สีออกคล้ายๆ ดอกมะลิแห้ง หรือดอกพิกุลแห้ง พระองคุลิมาล มีลักษณะเหมือนสากตำข้าว คือคอดกลาง แม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เป็นอย่างนั้น พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน มีลักษณะกึ่งหินกึ่งกระดูก แต่มีความเป็นกระดูกมากว่าหิน ลดหลั่นกันไปตามลำดับ
.....นี่เป็นผลของการกลั่นธาตุด้วยธรรมะมาตามลำดับ ตรงกันข้ามกับกระดูกของเราซึ่งยังมีกิเลสท่วมตัวอยู่ ถ้าเผาแล้วเอาไปกองรวมกับกระดูกวัวกระดูกควายบางทีจะแยกไม่ออกมันเหมือนกันหมดเลย เพราะยังไม่ได้กลั่นสักที