ณ บัดนี้ อาตมาภาพจักได้แสดงธรรมมิกถา เฉลิมเพิ่มเติมศรัทธา ประดับสติปัญญาของท่านพุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสร ในสถานที่นี้ เพื่อทำสวนกิจในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า วันนี้จะแสดงด้วย เกณิยานุโมทนาคาถา เครื่องกล่าวปรารภทั้งทางโลกและทางธรรม และทางบำเพ็ญทานการกุศล แต่ว่าเราท่านทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เป็นพุทธศาสนิกชนตั้งอยู่ในภูมิพื้นของปุถุชน ต้องจำข้อความสำคัญที่ขบขันไว้ในมนุษย์โลกนั้นก่อน เพราะว่าเราท่านทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่รู้จุดหมายใจดำของการบูชา ไมรู้จักจุดหมายใจดำของคัมภีร์แห่งโลก ไม่รู้จักจุดหมายใจดำของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่รู้จักจุดหมายใจดำของแม่น้ำสมุทรสาคร ไม่รู้จักจุดหมายใจดำของดวงจันทร์ ไม่รู้จักจุดหมายใจของดวงอาทิตย์ เรื่องนี้ใน ๖ ข้อนี้ควรตั้งใจสดับต่อ
ตามวาระพระบาลีว่า อคฺคิหุตฺตํ มุขา ยญฺญา ยัญทั้งหลายมีไฟเป็นหัวหน้า สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ สาวิตติฉันท์ เป็นคัมภีร์ของฉันทศาสตร์ทั้งหลาย ราชา มุขํ มนุสฺสานํ พระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขของมนุษย์นิกรทั้งหลาย นทีนํสาคโร มุขํ สมุทรสาครเป็นประมุขของแม่น้ำทั้งหลาย นกฺขตฺตานํ มุขํ จนฺโท ดวงจันทร์เป็นประมุขของดวงดาวทั้งนักขัตทั้งหลาย อาทิจฺโจ ตปตํ มุขํ ดวงอาทิตย์เป็นประมุขของสิ่งที่มีความร้อนทั้งหลาย สิ่งที่ร้อนทั้งหลายหรือว่าความร้อนทั้งหลาย สู้แสงอาทิตย์ไม่ได้ใน ๖ ข้อนี้จะอรรธถาธิบายต่อไปให้เข้าเนื้อเข้าใจ
การบูชาทั้งหลายในสากลโลก พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นในโลกเขาก็มีการบูชากัน บูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะไม่เกิดขึ้นก็มีการบูชากัน คำที่เรียกกันว่ายัญน่ะแปลว่าการบูชาหรือเซ่นสรวงต่างๆ ที่ปรากฏทำกันอยู่ นานาประเทศจะเซ่นสรวงบูชายัญต่าง ๆ ต้องมีไฟเป็นหัวหน้าทั้งนั้น ต้องมีไฟเป็นประธาน เมื่อติดไฟขึ้นละก็เริ่มบูชากันละ ถ้าว่ายังไม่ติดไฟก็ยังไม่บูชา จะจัดการบูชา จัดอย่างไรจัดไปถ้ายังไม่ติดไฟยังไม่เริ่มบูชา ต้องติดไฟขึ้นจึงเริ่มบูชา นี่ไฟเป็นข้อสำคัญอยู่ เมื่อเราบูชามีไฟเป็นประมุข มีไฟเป็นประธานเช่นนี้ เราจะคิดอ่านว่ากระไรในการบูชา เราเป็นพุทธศาสนิกชนก็คงไม่รู้ ก็คงจุดไปตามประเพณีดังนั้น ข้อสำคัญนักเรื่องไฟน่ะ ดูก็ปรากฏเห็นด้วยตา หุงต้มปิ้งจี่ได้ตามความปรารถนา ไหม้บ้านไหม้ช่องก็ได้ วอดวายกันนับคณนาไม่ถ้วน ไฟน่ะสำคัญอย่างนี้ บาลียืนยันว่า ธมฺโม ปทีโป วิย ว่าธรรมนั้นเหมือนไฟ เมื่อจุดไฟขึ้นแล้วล่ะก็ เราเป็นพุทธศาสนิกชน ไฟที่ติดอยู่นี่เหมือนธรรมจริง ๆ หนา ดับไปเสียไม่มีไม่เห็น มีไฟจุดปรากฏฉันใด ธรรมก็ปรากฏฉันนั้น เมื่อผู้ปฎิบัติเป็นขึ้น เห็นทีเดียวธรรม ใสสว่างกระจ่างชัชวาลทีเดียว ถ้าว่าไม่เป็นก็ไม่เห็นปรากฏ เหมือนไม่มี เมื่อเป็นเข้าเห็นปรากฏทีเดียว
ธรรมเป็นดวง ดวงใหญ่เล็กตามส่วน ดวงอย่างขนาดเล็กก็มี ดวงขนาดใหญ่ก็มี ขนาดกลางก็มี มีดวงเหลือที่คณานับในเรื่องดวงธรรม ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ใสเหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้านั่นดวงธรรม ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ละเอียด ๒ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสอีก ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ๓ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสอีกเหมือนกันแบบเดียวกัน ใสหนักขึ้นไปดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ๔ เท่าฟองไข่แดงของไก่ใสหนักขึ้นไป ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ๕ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสหนักขึ้นไป ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด ๖ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสหนักขึ้นไป ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม ๗ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสหนักขึ้นไป ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายอรูปพรหมละเอียด ๘ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสหนักขึ้นไป ดวงธรรมที่ทำที่ให้เป็นกายธรรมเท่าหน้าตักของธรรมกาย หน้าตักธรรมกายกว้างแค่ไหนดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายก็ใหญ่แค่นั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียด ๕ วา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัว นั่นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา ๕ วา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระโสดาละเอียด ๑๐ วา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกิทาคาละเอียด ๑๕ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคามี ๑๕ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคามีละเอียด ๒๐ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตต์ ๒๐วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตต์ละเอียด ๒๐วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัตต์ละเอียด ๒๐ วา กลมรอบตัว กว้างหนักออกไป นี่ดวงธรรมใหญ่อย่างนี้