พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสูญหายไปเมื่อประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ กลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยการสละชีวิตปฏิบัติธรรมถึง ๒ คราว จนเข้าถึงพระธรรมกาย และได้ศึกษาวิชชาธรรมกายจนเกิดความเชี่ยวชาญ แล้วมุ่งมั่นเผยแผ่พระพุทธศาสนา และวิชชาธรรมกาย จนตลอดชีวิตของท่าน
ณ คืนเพ็ญ เดือนสิบ ลุพุทธศักราช 2460 หลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐาน "หากวันนี้ไม่บรรลุธรรมอันใด แม้เพียงน้อยนิด ที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ ก็จะไม่ลุกจากที่ ขอเอาชีวิตนี้ถวายเป็นพุทธบูชา"
เริ่มตั้งแต่ท่านได้เพียรยอมสละชีวิตปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา จนกระทั่งค้นพบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุธรรม เข้าถึงวิชชาธรรมกาย จากนั้นได้สอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม และการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ยืนยันการบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยืนยันคำสอนของพระพุทธองค์ว่ามีจริง และดีจริง ทำให้เกิดความเชื่อมั่น และศรัทธาในคำสอนของพระพุทธองค์ที่ได้บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก
โดยเฉพาะคำว่า ”ธรรมกาย” ที่มีปรากฏในพระไตรปิฏก แต่ไม่ได้บอกวิธีการเข้าถึง ก็เพราะพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านค้นพบวิธีการเข้าถึงพระธรรมกายกลับคืนมาให้แก่ชาวโลก ท่านได้เมตตาพากเพียรสอนวิธีการเข้าถึงการปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย ด้วยคำสอนที่ว่า "หยุดเป็นตัวสำเร็จ" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เบื้องต้นจนเข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งเป็นกายตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
นับเป็นการค้นพบสรณะ ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐที่สุดของชาวโลก ที่จะนำพามนุษย์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งอวิชชา สามารถเอาชนะกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง และมุ่งตรงสู่เป้าหมาย คือ พระนิพพาน ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความสุขได้อย่างแท้จริง จนมีผู้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เพื่อเป็นพยานในการเข้าถึงธรรมเป็นจำนวนมาก ชีวิตของท่าน เป็นแบบอย่างของผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา และยังเป็นที่พึ่งให้แก่ชาวโลกได้อย่างสูงส่งงดงาม
เป็นตัวอย่างของพระภิกษุผู้สมบูรณ์พร้อมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณร เป็นพระนักปฏิบัติธรรม และพระนักพัฒนา
แม้ภารกิจด้านการบริหาร การปกครอง และการพัฒนาวัดปากน้ำภาษีเจริญ จะมีมากสักเพียงใดก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เคยละทิ้งการปฏิบัติธรรม รวมถึงการเผยแผ่วิชชาธรรมกายด้วย เพราะท่านถือว่าเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกาย และสั่งสอนผู้อื่นให้บรรลุธรรมกายไปด้วยนั้น ท่านได้คัดเลือกผู้ที่มีผลการปฏิบัติดีเยี่ยม ทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา จำนวนหนึ่ง เพื่อรวมทีมศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป เรียกว่า การทำวิชชาปราบมารและเพื่อให้การทำงานค้นคว้าวิชชาธรรมกาย เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในสถานที่ที่เป็นสัดเป็นส่วน ในปี ๒๔๗๔ ขณะที่ท่านอายุได้ ๔๗ ปี ท่านจึงได้สร้างอาคารเพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายขึ้นภายในวัดปากน้ำภาษีเจริญ ในสมัยนั้นเรียกว่า “โรงงานทำวิชชา”
การศึกษาวิชชาธรรมกาย ท่านได้ค้นคว้าธรรมะละเอียด และมีเมตตาเป็นที่พึ่ง ช่วยรักษาโรค แก้ไขภัยพิบัติต่าง ๆ แก่ประเทศชาติ ท่านได้แนะนำศิษย์ “ให้เป็นบุคคลที่ตนเองก็ชอบทำบุญและชักชวนให้ผู้อื่นทำด้วย ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ให้รู้จักเลือกผู้ที่จะทำบุญด้วย ให้ทุกคนพยายามรักษามนุษย์สมบัติ” สำหรับญาติโยมมาขอพี่งบารมีให้ท่านช่วยรักษาโรค แต่ละคนไปเล่าให้ฟัง ให้เขียนมาว่ามีอาการของโรคเป็นอย่างไร ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ แล้วไปใส่ตู้ไว้ แล้วท่านก็จะนำไปแก้ให้ในโรงงาน
เกี่ยวกับพระของขวัญศักดิ์สิทธิ์ ด้วยอานุภาพเป็นที่ประจักษ์ รอดตาย หายป่วย เจริญก้าวหน้าในชีวิต เป็นต้น โดยผู้มาร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดปากน้ำ ท่านแจกคนละองค์และให้ศีลให้พร แก่โยมเท่านั้น ท่านเคยสั่งไว้ว่า “มีองค์เดียวก็พอแล้ว” ให้ไปรับเฉพาะตัว คนละองค์ รับไปเผื่อกันก็ไม่ได้ ถึงหายไปให้ไปอธิษฐานเอา ตั้งจิตอธิษฐานเอา เดี๋ยวก็กลับมาเอง
ด้วยเรื่องราวทำให้ได้เห็นถึงความเมตตากรุณา ที่มีต่อมหาชนทั้งหลาย รวมทั้งยังได้ประจักษ์ถึงคุณธรรมและคุณวิเศษของท่านอย่างแจ่มชัด ยังมีคุณต่อเนื่องมายังปวงศิษย์ในยุคปัจจุบันนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี จึงเป็น "มหาปูชนียาจารย์" ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะได้รับการเคารพกราบไหว้บูชา ตลอดจนสมควรประกาศคุณงามความดีของท่าน ให้ขจรขจายไปทั่วโลก
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งจากภายในและต่างประเทศ ได้ร่วมใจกันหล่อรูปเหมือนของท่านด้วยทองคำบริสุทธิ์ ขนาดเท่าครึ่งของตัวจริงขึ้น เพื่อไว้สักการบูชาและให้ได้เป็นกำลังใจปฏิบัติสมาธิภาวนา เพื่อให้เข้าถึงวิชชาธรรมกายแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ มีพิธีอัญเชิญรูปหล่อทองคำนี้ มาประดิษฐานเป็นการถาวร ณ ศูนย์กลางของมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี
ส่วนการหล่อรูปเหมือนองค์ที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๗ และองค์ที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๘ สำหรับองค์ที่ ๔ จะมีการหล่อในวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ที่จะถึงนี้ เพื่อประดิษฐานภายในมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี วัดพระธรรมกาย แทนองค์แรกที่จะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อย้อนรำลึกถึงบุญใหญ่ที่เกิดขึ้น นับว่ามีบุญที่มีโอกาส ได้เชื่อมต่อสายบุญกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ ในหนทางแห่งการสร้างบารมีในวัฏสงสารอันยาวนานนี้ เพราะท่านคือผู้ค้นพบวิชชา ที่จะปิดอบายให้พวกเราได้รู้ความจริงของโลกและชีวิต ตรงต่อหนทางพระนิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ .
ซึ่งในวันศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ ที่จะถึงนี้ เป็นวาระครบ ๑๒๔ ปี แห่งการบังเกิดขึ้นของพระมงคลเทพมุนี เหล่าศิษยานุศิษย์จึงพร้อมใจกันแสดงความรัก ความกตัญญู น้อมบูชาพระคุณของท่านด้วยการหล่อรูปเหมือนของพระมงคลเทพมุนี ด้วยทองคำแท้ขนาดเท่าครึ่ง นำไปประดิษฐานไว้ภายในมหาวิหาร พระมงคลเทพมุนี เพื่อเป็นประจักษ์พยานแห่งการบังเกิดขึ้นของผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยคุณธรรมและคุณวิเศษอันไม่มีประมาณ สมควรแก่การบูชาคุณของท่านด้วยรูปหล่อทองคำอันล้ำค่า เพื่อให้เหล่าศิษยานุศิษย์และชาวโลก ตลอดจนอนุชนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเดินทางมากราบสักการะรูปหล่อทองคำ และศึกษาประวัติชีวิตอันงดงามของท่าน อันจะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ในการประพฤติปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถเป็น กัลยาณมิตรให้แก่ตนเอง และนำพาชาวโลกทั้งหลายให้ได้พบความสุข และเข้าถึงสรณะที่แท้จริง อันจะเป็นทางมาของสันติภาพโลกผ่านสันติสุขภายใน ไปอีกยาวนานสืบไป
เริ่มพิธีบุญตั้งแต่เวลา ๙.๓๐ น. ถึง ๑๖.๓๐ น. ณ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี เพื่อแสดงความเคารพในพระรัตนตรัยและสืบสานวัฒนธรรมชาวพุทธ ควรแต่งกายด้วยชุดสุภาพสีขาว ๆ มาร่วมพิธีบุญ.
(ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.dmc.tv)