เมื่อทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยามาปฏิบัติตามเส้นทางสายกลาง เริ่ม ฉันภัตตาหาร พระวรกายก็แข็งแรงขึ้น ทำให้การพากเพียรสมาธิภาวนาได้ผลดีขึ้น เพิ่มพูนพระบารมียิ่งขึ้นตามลำดับ จนถึงวันเพ็ญกลางเดือนหก นับเป็นระยะเวลา ๖ พรรษาหลังจากทรงผนวช
วันที่จะตรัสรู้นั้น มีชายชาวป่าคนหนึ่งได้นำหญ้ากุสสะมาปูถวาย เป็นอาสนะ ก็เนื่องด้วยอำนาจบุญที่ทรงเคยให้ที่นั่งที่นอนมาแต่ภพในอดีต ขณะที่ทอดหญ้ากุสสะ ทรงออกพระโอษฐ์ตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า "ถ้าอาตมาจะได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณแล้ว ขอจงบังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์วจลาอาสน์ ปรากฏในที่นี้”
บัดนั้นก็บังเกิดทิพยรัตนบัลลังก์สูง ๑๔ ศอก พระองค์ประทับบนรัตนบัลลังก์ แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานความเพียรไม่ถอยหลังว่า
"แม้เนื้อและเลือดในสรีระจักเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที เมื่อยังไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสียเป็นไม่มีเลย"
อธิบายความว่า แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไปก็ตามที ถ้ายัง ไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณจะไม่ขอลุกจากที่นั่ง จะยอมนั่งตายไปเลย พวกเราที่นั่งแล้ว แหม...ยังมืดตื้อ เจอหน้าทีไรก็ถาม "หลวงพ่อเมื่อไรผมจะเห็นธรรมกายสักที" ยังหรอกโยม ก็ยังนั่งบิดอยู่หลายตลบ เดี๋ยวลุก เดี๋ยวพลิก มันก็เลยมีอาการอย่างนี้แหละ ลองดูสิ จุดธูปเทียนอธิษฐาน ไม่ถึงธรรมกายจะยอมตายตรงนี้ เดี๋ยวก็ได้ ฝึกต่อไปก็แล้วกันนะ
หลังจากทรงอธิษฐานแล้ว พระองค์ประทับขัดสมาธิเรื่อยไปจน ในที่สุดใจรวมหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ความสว่างภายในก็ค่อย ๆ พัฒนาจากเห็นแสงสว่างแต่ไม่เห็นรูป ต่อมาเห็นแสงสว่างด้วยเห็นรูปด้วย ทรงตามรู้ตามเห็นภายในกายเข้าถึงธรรมกายโคตรภูและธรรมกายที่ละเอียดๆ ขื้นไปตามลำดับจนถึงธรรมกายอรหัต ความสว่างภายในของพระองค์นั้น สว่างตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม จนถึงกายธรรม จนยิ่งกว่าตะวันเที่ยงอีก สว่างเหมือนเอาดวงอาทิตย์ยามเที่ยงมาเรียงกันเต็มท้องฟ้า
พวกเราอาจสงสัยว่าสว่างมากๆ แล้ว ไม่ร้อนหรือ ไม่ร้อนเลย เพราะสว่างด้วยอำนาจแสงธรรม ยิ่งสว่างยิ่งเย็นใจ อย่าเอาแสงสว่างทางโลกมาเปรียบ ทางโลกนั้น ยิ่งสว่างยิ่งร้อน แสงสว่างในธรรมรังสี ยิ่งสว่างยิ่งเย็น เย็นเหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญ ยิ่งสว่างยิ่งชุ่มฉ่ำหัวอกหัวใจ
ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระภาวนาวิริยคุณ