นงค์นุช ดวงจิตต์
เธอ..ผู้โชคร้าย แต่ก็โชคดีที่สุด
คนในเรื่อง : นงค์นุช ดวงจิตต์ อยู่ จ.นครราชสีมา
ปูมหลัง : กำยากรอกปาก เพื่อจะฆ่าตัวตาย จนสลบหมดสติ
ปัจจุบัน : ได้ชีวิตใหม่ จากการมาบวชอุบาสิกาแก้ว
เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตี ๕ เพื่อไปพบหญิงคนนี้ถึงโคราช อยู่พูดคุยและลุยทำหน้าที่ชวนคนบวชกับเธอจนเกือบ ๓ ทุ่มขณะที่เราพูดคุยกับเธอ บางครั้งเราต้องหยุดถาม เงียบสักครู่ เพราะน้ำตาคลอ อึ้ง จนถามต่อไปไม่ได้ อีกทั้งเธอยังทำให้เรารู้สึกปลื้ม เพราะนับถือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ จนเราอยากจะค้นไปว่า เธอสร้างหัวใจขึ้นใหม่ ด้วยความคิดอะไร..!!
เธอต่างจากผู้หญิงทั่วไป เพราะปราศจากเครื่องสำอางใด ๆ บนใบหน้า อีกทั้งยังใส่ชุดขาวที่ผ่านการทำหน้าที่ชวนบวชมาอย่างโชกโชน แต่แววตาของเธอนี่สิ..เปล่งประกาย มีพลังที่อยากจะจุดโลกนี้ให้สว่างอยู่ตลอดเวลา
“เราโชคร้ายที่ต้องเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่เตะตีด่าว่ากันทุกวัน ครอบครัวจึงเต็มไปด้วยปัญหา พี่น้องท้องเดียวกันก็อยู่อย่างไม่รักกัน เพราะพวกเราไม่เคยเห็นภาพความรัก ความอบอุ่น ว่าต้องกระทำต่อกันอย่างไร เรามีความทุกข์มาก อีกทั้งยังอยากหนีจากวังวนของอาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ขาย จึงมาแต่งงานกับสามีที่เป็นทหาร และก็ย้ายตามสามีออกราชการไปยังจังหวัดต่าง ๆ เรื่อยมา จนมาปักหลักกับอาชีพทำปลาทูเค็มขาย พอจะขายได้กำไรดีหน่อย ก็ได้ไปบอกสูตรและสอนน้องแท้ ๆ กับน้องเขยให้ทำอาชีพเดียวกับเราบ้าง แต่ตอนหลังก็โดนหักหลัง ซ้ำร้ายยังโดนแย่งลูกค้าไปหมด จนในที่สุดเราต้องเลิกขาย ทำให้เราไม่มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถพิกอัปและมอเตอร์ไซค์ จึงปล่อยให้เขายึดไปในที่สุด ช่วงนั้นชีวิตเราตกอับถึงขีดสุด หนำซ้ำลูกชายคนโตก็เกเร ไม่ยอมเรียนหนังสือ ไปขโมยของในห้างฯ บ้านช่องก็ไม่ยอมกลับ ทำให้เราเครียดฟุ้งซ่านจนนอนไม่ได้ เพราะห่วงลูก ไปต่าง ๆ นานา กลัวว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุ กลัวว่าเขาจะไปมีเรื่องโดนทำร้าย”
...แล้วเธอแก้ปัญหาเรื่องลูกอย่างไร ?
“เราทุกข์จนไม่รู้จะทำอย่างไร คิดในใจตลอดว่า หากทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น แบบนี้ สู้ตายเสียดีกว่า ดังนั้นพอลูกชายกลับมา เราจึงยื่นมีดให้เขา แล้วบอกเขาว่า ให้ฆ่าแม่เถอะ ฆ่าแม่ให้ตายเสียดีกว่า อย่าปล่อยให้แม่ทรมานเพราะห่วงลูกถึงขนาดนี้ ตอนนั้นลูกชายได้แต่นิ่ง ไม่ตอบอะไร แต่เขาก็ยังมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ อย่างเดิมอีก ทำให้ความทรมานใจของเราเพิ่มมากขึ้น จนแทบจะรับไม่ได้ ซ้ำร้ายเรายังล้มป่วยหนัก เป็นเบาหวาน ความดัน ภูมิต้านทานในร่างกายถดถอยลงอย่างฮวบฮาบ นอนซม ไร้เรี่ยวแรง จนอยู่ ๆ ก็เป็นแผลพุพองขึ้นตามตัวเต็มไปหมด”
...และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจริง ๆ...
“ตอนนั้นเราไร้เรี่ยวแรงที่จะสู้ชีวิต มองเห็นอนาคตว่า หากตายก็คงจะหายทุกข์ เราจึงตัดสินใจกำยากรอกปากฆ่าตัวตาย และสลบหมดสติอยู่ในห้องเพียงลำพัง!!!
“จนสุดท้ายเรามาฟื้นขึ้นอีกทีที่โรงพยาบาล แม้เราจะได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากความตาย แต่สภาพจิตใจเราก็เหมือนคนตายไปแล้ว ซ้ำพอฟื้นขึ้นมา เราก็ได้มารู้ว่าน้องเขยด่าเราว่า "อีควายนั่น..มันกินยาฆ่าตัวตาย" จากประโยคนี้เอง มันทำให้เราเจ็บเหลือเกิน จนเราอุทานกับ ตัวเองว่า เออ..! เรามันก็ทำตัวโง่อย่างที่เขาด่าจริง ๆ เรามันควายถึงได้คิดฆ่าตัวตาย อีกทั้งเรายังควายที่ให้เขาหลอกและหักหลังได้ จากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้เราบอกกับตัวเองใหม่ว่า เราจะไม่ยอมตายให้เขามาด่าว่าโง่เป็นควายอีก เราต้องลุกขึ้นมาสู้แล้ว จากนั้น เราก็ฮึดลุกขึ้นมาทำกับข้าว ถุงละ ๑๐ บาทขาย แต่ก็ขายไม่ได้ เหลือบานเบอะ ซึ่งวันหนึ่ง ขณะกำลังทำกับข้าวขาย เราหมุนคลื่นวิทยุไปเจอพระรูปหนึ่งกำลังเทศน์ พอฟังแล้วรู้สึกมีกำลังใจสู้ชีวิตจากคำสอนของท่าน ทำให้เราตามฟังอย่างต่อเนื่องถึง ๒ วัน แต่พอวันที่ ๓ เราพยายามหมุนคลื่นนี้อีก แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ จนกระทั่งวันหนึ่ง..มีช่างมาติดตั้งจานดาวเทียมที่บ้าน ขณะที่เขากำลัง จูนหาช่องต่าง ๆ อยู่ เราก็เกิดได้ยินเสียงพระที่คุ้นหู เพราะเคยฟังจากคลื่นวิทยุที่หมุนไปเจอ จึงรีบบอกช่างทันทีว่า ให้ล็อกช่องนี้ไว้เลย ต่อมาจึงได้รู้ว่า เจ้าของเสียงเทศน์นั้น คือ หลวงพ่อของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นวัดที่เราแอนตี้ เพราะได้ยินแต่ข่าวในแง่ลบของวัดนี้มาก่อน แต่คำสอนของท่านทำให้เรารู้สึกดีเหลือเกิน รู้สึกไม่เหมือนกับข่าวที่เคยได้ยินมาเลย เพราะคำสอนของท่าน ทำให้เรามีกำลังใจสู้ชีวิตขึ้นมาใหม่ ทำให้เราทำใจได้ว่า ความทุกข์ที่เราเจอ ล้วนเป็นภาพที่เราเคยทำมาในอดีต คำสอนของท่านทำให้เราปล่อยวาง รู้จักการให้อภัย รู้เรื่องบุญบาป จนเราใจเปิดและชอบสิ่งที่ท่านสอนเป็นอย่างมาก ต่อมาท่านชวนให้ไปบวชอุบาสิกาแก้วแสนคนทั่วประเทศ ทำให้เราอยากเข้าบวชอุบาสิกาแก้วมาก ๆ
“ช่วงนั้นได้แต่รอคอยให้มีคนมาชวน เพราะเราดูจากช่อง DMC เขาบอกว่าจะมีผู้นำบุญของแต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอเป็นจำนวนมาก ออกกระจายข่าวและรับสมัครทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เราก็ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไรพวกเขาจะมาถึงเรา เพราะเราไม่เคยไปวัดพระธรรมกาย ไม่รู้จักศูนย์สาขาในโคราชด้วยว่าอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังคิดว่า บ้านของเราก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในถิ่นที่กันดาร เราอยู่หลังค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์ อย่างไรก็ต้องได้ยินคนมากระจายข่าว หรือมีเสียงรถแห่อะไรมาถึงบ้าง เราได้แต่ ตื่นมารอทุกวัน คิดในใจตลอดว่า เมื่อไร..จะมีคนมาชวน เมื่อไรจะมีคนมาชวน...
“การรอคอยของเราผ่านไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกหมดหวังว่าจะมีคนมาชวน เราจึงเข้าห้องพระไปอธิษฐานขอหลวงปู่วัดปากน้ำว่า ลูกอยากบวชจริง ๆ ขอให้ลูกได้ไปบวช ซึ่งหลังจากที่อธิษฐานได้ ไม่นาน ลูกชายคนเล็กก็มาบอกว่า เขาต้องไปวัดพระธรรมกาย เพราะเข้าร่วมโครงการเด็กดี V-Star พอเรารู้ตรงนี้ จึงติดต่อไปที่ครูของลูกชาย เขาจึงรีบประสานงานพาเราไปบวชอุบาสิกาแก้วที่ศูนย์อบรมเยาวชน จ.นครราชสีมา ซึ่งห่างจากบ้านเพียง ๗ กิโลเมตรเท่านั้น
“ช่วงบวชเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน เราไม่เครียด ปลอดกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็น มีโอกาสได้รักษาศีล ๘ นั่งสมาธิ ใจเราสงบเยือกเย็นขึ้นมาก จนเรารู้สึกว่า การที่คนเราจะมีความสุขได้ ไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่มันอยู่ที่การมีชีวิตที่เรียบง่าย ปล่อยวาง และทำใจให้สงบ พอจบโครงการนี้ เราจึงขออาสาพระอาจารย์มาเป็นผู้นำบุญ ทำหน้าที่ชวนคนบวช เพราะเรามี ความคิดว่า เรามีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ก็เพราะโครงการนี้ เราอยากจะออกไปชวนคนที่ยังทุกข์ ยังก่อบาปสร้างกรรม ให้มาพบธรรมะ จากนั้นเราก็ช่วยเขาลุยทำหน้าที่ชวนคนบวชพระแสนรูปรุ่นเข้าพรรษาได้ ๕๐ กว่าคน...”
และจากตรงนี้เอง..ปัญหาครอบครัวของเธอกำลังจะถูกแก้..!!
“ด้วยความที่เราเข้าใจธรรมะ เราจึงนำธรรมะเข้ามาแก้ปัญหาชีวิต โดยการเรียกลูกชายของเรามาคุย โดยบอกเขาว่า แม่ขอโทษและก็ขออโหสิกับลูกด้วยที่ดุด่า ทำให้ลูกน้อยใจ แล้วเราก็ให้ลูกกราบขอขมาอโหสิกรรมกับเราที่เขาเป็นลูกที่เกเร เราสองแม่ลูกคุยกันว่า ภพชาติก่อน ๆ เราอาจจะมีวิบากร่วมกันมา ที่ต้องมาทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็อโหสิกัน แล้วมาเริ่มต้น ชีวิตใหม่ คือ เราขอให้ลูกชายบวชพระในโครงการบวชแสนรูป เข้าพรรษาพร้อมกันทั่วประเทศ ส่วนลูกชายคนเล็กเราก็ให้เขาบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งพอเขาบวชเสร็จ เขาก็กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ รับผิดชอบ อ่อนโยน เหมือนเราได้ลูกคนใหม่ ที่ทำให้ไม่ทุกข์ใจเหมือนที่ผ่านมา
“ตั้งแต่เราตัดสินใจไปบวชอุบาสิกาแก้ว มีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตเรามาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเราฝันว่า เห็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่สว่างเจิดจ้าและทรงพลัง และมีพญาอินทรีบินออกมาจากดวงอาทิตย์ดวงนั้น พอฝันอย่างนี้ได้ไม่นาน พระอาจารย์ท่านก็เล่านิทานเรื่องพญาอินทรีกับแม่ไก่ให้ฟังว่า มีลูกนกอินทรีตกจากรังลงมายังฝูงลูกไก่ แล้วแม่ไก่ก็เลี้ยง เพราะนึกว่าเป็นลูกของตน โดยสอนให้คุ้ยเขี่ยหาอาหารจนโต แต่พอวันหนึ่งลูกนกอินทรีเงยหน้าเห็นพญาอินทรีตัวใหญ่โผบินอย่างองอาจสง่างามอยู่บนท้องฟ้า ก็รู้สึกว่าตัวมันน่าจะทำสิ่งนั้นได้ แต่แม่ไก่บอกว่า เราเป็นเพียงแค่ไก่กระจอก ไม่มีวันที่จะบินเหมือนพญาอินทรีได้ แต่ด้วยสัญชาติญาณความเป็นอินทรีในสายเลือด ของลูกนกอินทรีที่หลงมาในฝูงแม่ไก่ มันจึงแอบแม่ไก่เดินขึ้นไปบนหน้าผาและลองบินดูบ้าง ปรากฏว่ามันบินได้อย่างนกอินทรีจริง ๆ และรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่ใช่ตัวเองมากกว่าการเป็นไก่ มันจึงได้มารู้ความจริงว่า เราคือนกอินทรี พอฟังพระอาจารย์ท่านเล่าถึงตรงนี้ ก็ย้อนกลับมานึกถึงตัวเอง ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก และอยู่ไปวัน ๆ ซึ่งหากทำแค่นั้น ก็คงไม่ต่างอะไรกับการเกิดเป็นไก่ เพราะเราลองใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ มาถึง ๔๒ ปี ก็ไม่เคยทำให้เรา มีความสุขเลย เพราะขณะที่เรามีความทุกข์ ความสุขมันอยู่ข้าง ๆ เรานี่เอง แต่เรากลับมองไม่เห็น เพราะเรามัวแต่ทุกข์ และในทำนองเดียวกัน ขณะที่เรากำลังสำลักความสุข ความทุกข์ก็กำลังจ่อที่จะเล่นงานอยู่ ถ้าเราประมาท เราใช้ชีวิตอยู่กับการหลอกตัวเองมามาก ซึ่งความรู้สึกของตัวเองตอนนั้น ไม่ต่างอะไรกับลูกนกอินทรีที่หลงอยู่ในฝูงไก่ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า เราจะมาเป็นผู้นำบุญ เราจะต้องลุกออกไปทำหน้าที่เป็นแสงสว่างให้กับชาวโลก เพราะชีวิตที่เกิดมานี้ เราสามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก แล้วให้สามีเลี้ยง
“ทุกวันนี้ เราทำหน้าที่ชวนคนบวชมาทุกโครงการ ตั้งแต่บวชพระ บวชอุบาสิกาแก้วรุ่น ๕๐๐,๐๐๐ คน รุ่น ๑,๐๐๐,๐๐๐คนทุกวัน หมู่บ้านหนึ่งเราไปถึง ๓ ครั้ง ไปจนกว่าเขาจะยอมบวช ค่ำไหนนอนนั่น กินนอนในรถ บางทีก็เอาเต็นท์ใส่รถไป ถ้าไปทำหน้าที่ในหมู่บ้านที่มีวัด ก็ไปอาศัยวัดกางเต็นท์นอน หรือไปนอนที่ศูนย์อบรมเยาวชนนครราชสีมา ทั้ง ๆ ที่เราเองก็ยังป่วยเป็นเบาหวานและความดันอยู่ มีอาการวูบบ่อย ๆ แต่เราก็ทำอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เดินชวนคนทุกบ้านอย่างไม่เว้น เพราะเรามานึกถึงตัวเองตอนที่อยากบวชมาก แล้วได้แต่รอวันแล้ววันเล่าที่จะให้ผู้นำบุญมาถึงบ้านเรา แต่ก็ไม่มีคนมาชวนเราสักที ดังนั้นเราจึงไปทุกบ้าน ไปตามงานศพ ไปยังอำเภอและหมู่บ้านที่ยังไม่เคยมีใครไป เพื่อนำข่าวการบวชไปบอกเขา ซึ่งขณะที่เราทำหน้าที่ชวนบวช เราก็อธิษฐานตลอดเลยว่า ขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาเจอหมู่คณะอีก ได้มาเจอหลวงปู่ เจอหลวงพ่อ เจอคุณยาย ได้มาทำหน้าที่ผู้นำบุญไปทุกภพทุกชาติ เพราะเราภูมิใจและรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่มีเกียรติเพราะเรามีฝัน ที่อยากจะตามสร้างบารมีกับหลวงปู่วัดปากน้ำ หลวงพ่อ และคุณยายอาจารย์ฯ ไปทุกภพทุกชาติ หากเราบุญน้อยและไม่มีบุญเชื่อมกับท่าน ฝันเราก็ไม่อาจเป็นจริงได้เลย เพราะการติดตามท่านไปสร้างบารมีต้องมีบุญมากพอ ถึงจะติดตามสร้างบารมีกับท่านได้อย่างตลอดรอดฝั่ง”
การชวนบวชมีอุปสรรคไหม??
“บางคนที่เราไปชวนบวชจะบอกว่า ไม่มีเวลา ต้องทำแต่งาน ๆ ๆ ต้องเลี้ยงหลาน เราก็ให้ข้อคิดเขาไปว่า เราทำแต่งานมาทั้งชีวิต หรือเลี้ยงลูกก็เลี้ยงมาแล้ว ยังต้องมาเลี้ยงหลานอีก ทำไมไม่สละเวลาเพียงไม่กี่วันมาทำอะไรเพื่อตัวเองอย่างแท้จริงบ้าง เพราะหากที่ผ่าน ๆ มาเคยทำความดีนิด ๆ หน่อย ๆ ความชั่วหนัก ๆ แม้ไม่ทำก็จริง คือบุญไม่ชัด บาปไม่เด่น พอเราตายไป ก็ต้องไปเกิดเป็นสัมภเวสี เร่ร่อนอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ เพราะไม่มีบุญมากพอจะไปเกิดเป็นคน และไม่มีบาปมากพอที่จะไปเกิดในนรก
ถ้าลูกหลานทำบุญไปให้ถึงจะมีกินแต่ถ้าลูกหลานลืมทำบุญอุทิศไปเราก็อยู่อย่างลำบาก แล้วเมื่อถึงเวลานั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราตายไปแล้วเขาจะคิดถึงเรา เพราะเขาก็มองไม่เห็นเรา เขาก็ห่วงลูกห่วงหลานเขาเท่านั้นดังนั้น หากรักตัวเองต้องไปบวชอุบาสิกาแก้ว ไปเติมบุญให้ตัวเอง ไปทำทาน รักษาศีล ๘ และทำสมาธิ เพื่อให้เรามีบุญมากพอที่จะระลึกได้ อีกทั้งหากเราหมั่นเติมบุญให้ตัวเองโดยการบวช บุญนี้ก็จะไปตัดรอนวิบากกรรมที่เราเคยทำมา พอพูดให้เขาได้คิดกันแบบนี้ ส่วนใหญ่เขาก็ตัดสินใจที่จะไปบวชกัน”
หัวใจที่ยิ่งใหญ่ ในการทำหน้าที่ชวนบวชอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันของเธอเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งเริ่มเข้าวัด อีกทั้งยังป่วย และมีสภาพที่ไม่พร้อมหลายอย่าง แต่เธอก็มองข้าม และมุ่งเอาบุญชวนคนบวชอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะเธอเข้าใจแล้วว่า เธอเกิดมาเพื่ออะไร เธอมีชีวิตใหม่เพราะอะไร และเธอก็มุ่งที่จะจุดแสงสว่างนั้นไปสู่ใจคนนับล้านต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง กับโครงการบวชอุบาสิกาแก้ว ๑ ล้านคนทุกอำเภอทั่วประเทศ...
แล้วคุณล่ะ..เตรียมตัวบวช และชวนคนบวชอุบาสิกาแก้วแล้วหรือยัง..?