อรหัง ทรงเป็นพระอรหันต์
ทรงพระนามว่า”อรหัง” คือ ทรงเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลสอย่างเด็ดขาด เพราะทรงกำจัดกิเลสได้หมดอย่างสิ้นเชิงไม่เหลือเศษ
ความหมายของคำว่า อรหัง สามารถแปลได้ 7 นัยยะด้วยกันคือ
1.เป็นผู้ไกลจากกิเลส
2.เป็นผู้กำจัดข้าศึก คือ กิเลสสิ้นแล้ว
3.เป็นผู้หักกรรมแห่งสังสารจักร อันได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม
4.เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอน
5.เป็นผู้ที่ควรรับความเคารพ
6.เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา และการบูชาพิเศษ
7.เป็นผู้ไม่มีข้อลับ คือ ไม่มีข้อเสียหายอันควรปกปิด
พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย) ได้แสดงความหมายของคำ อรหัง ไว้ 2 นัย คือ เป็นผู้ไกลและผู้ควร10)
อรหํ แปลสั้นๆ ว่าไกล ว่าควร เป็นสองนัยอยู่ ไกล หมายความว่า ไกลจากกิเลส หรือว่า พ้นจากกิเลส เสียแล้ว ไกล ตรงข้ามกับปุถุชนคนเรา ซึ่งยังอยู่ใกล้ชิดกิเลส พระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่องดังแท่งทองชมพูนุทหรืออีกอย่างหนึ่งว่าใสเหมือนดวงแก้วอันหาค่ามิได้ สมคำที่ว่า”พุทธรัตนะ”
ประกอบด้วย ตานิโน เป็นผู้คงที่ไม่หวั่นไหว หากจะมีของหอมมาชะโลมไล้พระวรกายซีกหนึ่ง และเอาของเหม็นมาชโลมซีกหนึ่ง พระหฤทัยของพระองค์ก็ไม่แปรผันยินดียินร้ายประการใด และเปรียบได้อีกสถานหนึ่งว่า อินฺทขีลูปโม พระทัยมั่นคงดังเสาเขื่อน ถึงจะมีพายุมาแต่จาตุรทิศก็ไม่คลอน เมื่อเช่นนี้จึงมีนัยที่แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ผู้ควร คือเป็นผู้ที่เราสมควรจะเทิดจะบูชาไว้เหนือสิ่งทั้งหมด11)
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค แสดงความหมายของคำว่า อรหํ ไว้ 5 นัย
1.เป็นผู้ไกลจากกิเลส
2.เป็นผู้ทรงกำจัดอริ(หมายถึง กิเลส) ทั้งหลายเสียได้
3.เป็นผู้ทรงทำลายซี่กำ(หมายถึง อภิสังขาร)ทั้งหลายเสียได้
4.เป็นผู้ควรทักษิณา
5.เป็นผู้ไม่มีที่ลับในอันที่จะทำบาป
คำว่า “ อรหัง” อาจอธิบายสรุปความหมายเป็น 4 นัย คือ
นัยที่ 1 ทรงไกลจากข้าศึก “ ข้าศึก” หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส เพราะทรงกำจัดกิเลสทั้งปวงด้วยมรรคได้หมดอย่างสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษจึงทรงพ้นจากกิเลส ไม่ข้องแวะกับกิเลสใด และไม่ทรงประกอบด้วยสิ่งอันเป็นโทษทั้งหลาย (คือ วาสนา12) ) เพราะเหตุนี้จึงทรงปรากฎพระนาม “ พระอรหันต์”
นัยที่ 2 ทรงหักกำฉัตร “ กำฉัตร” หมายถึงกิเลสทั้งปวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหักกิเลสเหล่านั้นด้วยศาสตรา คือปัญญา เพราะเหตุนี้จึงทรงพระนามว่า “ พระอรหันต์”
อนึ่ง คำว่า “ จักร” หมายถึง “ สังสาร” มีคำอธิบายแตกต่างกันเป็น 2 นัย คือ
“ สังสาร” ตามนัยที่ 1 อุปมาดัง “ จักร” ซึ่งตามธรรมดามีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง คือ ดุม กำ และกง ตามนัยที่ 1 นี้ อวิชชาและภวตัญหาเปรียบได้กับ “ ดุม” อภิสังขารเปรียบได้กับ “ กำ” ความแก่และความตายเปรียบได้กับ “ กง” ดุม กำ และกง ประกอบกันขึ้นเป็นจักรหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ ล้อ” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “ รถ” อันเปรียบได้กับ “ ภพ 3” รถคันนี้ย่อมแล่นไปเรื่อยๆ โดยหาต้นชนปลายไม่ได้ นี่คือ ความหมายของ “ สังสาร” หรือ “ จักร” ตามนัยที่ 1
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จประทับยืนบนแผ่นดินด้วยพระบาท “ ศีล” ของพระพุทธองค์นั้นเปรียบได้กับ “ แผ่นดิน” ส่วน “ ความเพียร” เปรียบได้กับ “ พระบาท” ทรงเอาพระหัตถ์ ซึ่งเปรียบได้กับ “ ศรัทธา” จับขวานคือ “ พระญาณ” ฟันกำของจักรให้ขาดสะบั้นลงหมดสิ้น รถจึง “ หยุด” นิ่งสนิท เป็นอีนสิ้นภพสิ้นชาติ ชรา มรณะ นี่คือความหมายของ “ ทรงหักกำจักร” ตามนัยที่ 1
“ สังสาร” ตามนัยที่ 2 อุปมาดัง “ จักร” ที่ประกอบมาจาก “ ปฏิจจสมุปบาท” คือมี “ อวิชชา” เปรียบได้กับ “ ดุม” เพราะเป็นมูลเหตุ “ ชราและมรณะ” เปรียบได้กับ “ กง” เพราะเป็นที่สุด ส่วนธรรมอีก 10 ข้อที่เหลือในปฏิจจสมุปบาท เปรียบได้กับ “ กำ” นี้คือ “ สังสาร” ตามนัยที่ 2
เพราะเหตุที่ทรงหักกำจักรสิ้นแล้วจึงปรากฎนามว่า “ พระอรหันต์”
นัยที่ 3 ทรงควรแก่ปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบริสุทธิ์หมดจดด้วยประการทั้งปวง จึงทรงเป็นทักขิไณยบุคคลอันเลิศยิ่ง ย่อมควรแก่ปัจัยและการบูชาเป็นพิเศษ สำหรับ พรหม เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ จึงทรงปรากฎพระนามว่า “ พระอรหันต์”
นัยที่ 4 ทรงไม่ทำชั่วในที่ลับ โดยเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำจัดกิเลส ตัณหาและอวิชชาทั้งปวง ด้วยมรรคและญาณโดยสิ้นเชิงแล้ว การทำกรรมชั่วทั้งหลายแม้ในที่ลับ ย่อมไม่มีแก่พระองค์ เพราะเหตุนี้ จึงทรงปรากฎพระนามว่า “ พระอรหันต์”
------------------------------------------------------------------------
10) พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว), พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ, กรุงเทพฯ : นฤมิต โซล(เพรส) จำกัด, 2546. หน้า 58.
11) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ, มรดกธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (พระมงคลเทพมุนี), กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิซซิ่ง จำกัด (มหาชน), 2539. หน้า 2-3.
12) วาสนา คือ บุญ บารมี กุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ
สมถกัมมัฏฐาน 40 วิธี