กับดักความสำเร็จ

วันที่ 04 กย. พ.ศ.2558

 

กับดักความสำเร็จ


            ความสำเร็จ เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ แต่การยึดติดในความสำเร็จที่ได้มานั้นเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้า เพราะความสำเร็จที่ยิ่งๆขึ้นไป ล้วนต้องอาศัยการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อทุกสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง ผู้ที่สามารถปรับความคิดปรับยุทธวิธีต่างๆ ได้ทันการณ์ ย่อมได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น และนี่คือเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้คนบางคน มีความสำเร็จที่โดดเด่น ล้ำหน้ากว่าคนทั่วไป แต่ใน “ ดี ” บางทีก็มี “ เสีย ” หมายถึงว่าผู้ที่ทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างมากมายนั้น บางทีก็อาจทำให้ภูมิใจแล้วไปยึดติดกับความสำเร็จนั้นมากเกินไป จนกระทั่งหวังจะนำวิธีการที่ตัวเองเคยประสบความสำเร็จนั้นไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาภายหลังด้วย ทั้งๆที่สิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วหรือเป็นสถานการณ์คนละอย่าง ซึ่งก็จะทำให้พลาดได้เหมือนกัน กลายเป็น “ กับดักความสำเร็จ ”
มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่นในประเทศจีน เหมาเจ๋อตุง คือผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถอย่างยิ่ง เขาได้รวบรวมผู้คนต่อสู้ขับไล่เจียงไคเช็ค ให้พ้นจากอำนาจจนต้องหลบไปอยู่ไต้หวัน ทั้งที่เจียงไคเช็คได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา มีกำลังอาวุธพร้อมกว่ากันมาก แต่เหมาเจ๋อตุงได้เลือกใช้ยุทธศาสตร์กองโจรทำนองว่า “ เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม ” โดยเริ่มจากป่าล้อมชนบท ชนบทล้อมเมือง เมืองล้อมเมืองหลวง ไล่เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ สามารถยึดอำนาจได้ในที่สุด


           กว่าจะถึงจุดนี้ได้นั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องมีการปรับตัวอย่างมากทีเดียว เริ่มต้นจากที่หวังว่า จะใช้วิธีการแบบเดียวกันกับสหภาพโซเวียต คือจะเปลี่ยนแปลงจากในเมืองโดยอาศัยกรรมกร แต่ด้วยเหตุที่สังคมจีนเป็นสังคมเกษตรกรรม จำนวนกรรมกรในเมืองมีอยู่เพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ พอกรรมกรลุกฮือขึ้นต่อสู้ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ล้อมปราบ สุดท้ายก็แพ้พ่าย เหมาเจ๋อตุงจึงปรับวิธีการใหม่ โดยการไปตั้งฐานที่มั่นคงอยู่ที่จิงกังซานสร้างเขตปลดปล่อยขึ้นมา ค่อยๆสะสมกำลัง สะสมความรู้ ประสบการณ์จากชีวิตจริงจนตกผลึกสรุปได้ว่า ถ้าจะต่อสู้ขณะที่มีกำลังน้อยกว่าเช่นนี้ต้องอาศัยภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นที่ซ่องสุมกำลัง แล้วใช้ยุทธศาสตร์กองโจรคอยก่อกวนโจมตี จนอีกฝ่ายอ่อนกำลังลง จึงรุกไล่โอบล้อมจากป่าเข้ามาสู่เมือง และในที่สุดก็สามารถรวบรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวกันโดยต่อมาได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน


            เมื่อรวมประเทศได้ในปีพ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตุงภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง และก็คิดจะใช้วิธีการแบบเดียวกันในการพัฒนาประเทศ จึงประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ให้โตขึ้นนับสิบเท่าในเวลาเพียง 5 ปี ถ้าเทียบกับปัจจุบันนี้คือจะต้องทำ GDP ให้โตถึง 60 – 70 % ต่อปีเลยทีเดียวซึ่งความเป็นจริงในทางเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจต้องมีพื้นฐาน พัฒนาเป็นขั้นตอน และถ้าต้องเร่งรัดเกินไปก็จะเกิดภาวะเศรษฐกิจร้อนจัดเกินไปหรือที่เรียกว่า Over Heat แต่เหมาเจ๋อตุง กลับดึงดันบอกว่า ต้องทำได้ถ้าหากว่าสามารถปลุกระดมมวลชนให้คนจีนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาพัฒนาเศรษฐกิจด้วยหัวใจนักสู้ รบชนะศึกสงครามยังทำได้มาแล้ว ทำไมกับแค่การพัฒนาเศรษฐกิจจะทำไม่ได้เล่า


            คนจีนทั้งประเทศรักประธานเหมาเจ๋อตุงของเขามาก จึงพยายามเดินตามนโยบายกันเต็มที่ แต่ว่าเนื่องจากการตั้งเป้าหมายในครั้งนี้ ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง วิธีการที่ใช้ก็ไม่เหมาะสม ผลจึงเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ตัวอย่างเช่นในการเพิ่มผลผลิตเหล็กกล้า นักเรียนในโรงเรียนมัธยมได้ช่วยกันขุดหลุมที่สนามฟุตบอล เพื่อสร้างเตาเผาเหล็กจากนั้นพากันไปเอาตะหลิวกระทะจากบ้านมาหลอมเพื่อจะให้ได้ผลผลิตเหล็กสนองนโยบายท่านประธาน แต่เนื่องจากความร้อนของเตาเผาไม่ถึงระดับ สิ่งที่ได้จึงกลายเป็นเหล็กพรุนๆ เป็นการทำงานที่ขาดความรู้ ไม่มีความเป็นมืออาชีพด้านการเพิ่มผลผลิตทางด้านการเกษตรก็เช่นกัน มักมีข่าวว่า ที่นั้นที่นี้ประสบความสำเร็จโดยใช้เทคนิคพิเศษ เช่นเปิดพัดลมเป่าไปในทุ่งนาแล้วข้าวออกรวงเพิ่มขึ้นสามเท่าห้าเท่า คนก็พากันทำตามอย่างเป็นการใหญ่ แต่เรื่องราวของความผิดพลาดสูญเสียเช่นนี้ ไม่สามารถมาถึงเหมาเจ๋อตุงได้ สิ่งที่มาถึงหูเหมาเจอตุงมีแต่ข่าวดีข่าวความสำเร็จ เพราะเหมาเจ๋อตุงในเวลานั้นได้กลายเป็นบุคคลสำคัญแทบจะเปรียบได้กับเทพเจ้า จึงไม่มีใครกล้าทำให้ขัดเคืองใจเลย ทั้งที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังล่มสลาย เกิดการรวนถอยหลังครั้งใหญ่ เพราะทุกคนต้องมุ่งเน้นให้ได้ผลงานตามที่ท่านประธานตั้งเป้าเอาไว้ งานประจำถูกละเลยสิ่งต่างๆ จึงบิดเบี้ยวไปจากความจริง


            เหมาเจ๋อตุงก็รู้สึกข้องใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมมีแต่ข่าวดี จึงเริ่มส่งคนใกล้ชิดออกไปสืบข้อมูล แต่ยังไม่ทันได้เรื่องได้ราวกลับมาก็ปรากฏว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จอมพลเผิงเต๋อไหวซึ่งเคยเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบกันมา ได้เขียนจดหมายหนึ่งหมื่นตัวอักษรถึงเหมาเจ๋อตุงด้วยสำนวนทหารตรงไปตรงมาว่า ท่านประธานกำลังทำให้ประเทศล่มจม ข้อความที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้เหมาเจ๋อตุงรับไม่ได้เพราะหลังจากรวมประเทศจีนสำเร็จและได้ขึ้นมาเป็นประธานของประเทศ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมามีแต่คำชื่นชม เหมาเจ๋อตุงจึงยิ่งเกิดทิฐิมานะเดินหน้าสู้ต่อ


            ทางด้านโจวเอินไหลนายกรัฐมนตรี เติ้งเสี่ยวผิงเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และเผิงเต๋อไหวจึงได้แต่ปลอบใจกันเองว่า “ ไม่เป็นไรเวลาอยู่ข้างเรา ” คือ ยิ่งเวลาผ่านไปก็จะยิ่งพิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านประธานเหมาทำนั้นไม่ถูก แต่เหมาเจ๋อตุงเป็นนักยุทธศาสตร์จึงไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบ เมื่อโอกาสเหมาะเขาก็เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้โดยปลุกระดมเด็กๆ ขึ้นมาแทน คือสร้างขบวนการเรดการ์ดขึ้นมา เริ่มที่เด็กมัธยมต่อมาก็ขยายไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยให้ทหารหนุนหลัง ใครที่เป็นฝ่ายตรงข้ามก็ให้เรดการ์ดไปล้อมบ้านตั้งลำโพงด่า 7 วัน 7 คืน ให้เสียเครดิต จากนั้นก็ปลดออกจากตำแหน่ง ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกลัทธิแก้ ต้องส่งไปศึกษาทบทวนตัวเองโดยให้ไปเป็นคนงานในชนบท จากคนใหญ่คนโตผู้บริหารระดับสูงถูกส่งไปเป็นกรรมกรอยู่ในโรงงานก็มี เรียกว่าจัดการไปทีละคน ๆ ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างที่ตัวเองจะเสียเปรียบโดยเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมกินระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2509-พ.ศ. 2519 แท้จริงแล้ว ตลอด 10 ปีนี้ คือสงครามการเมืองแบบอ่อนๆ ในประเทศจีนซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล


             เราจะได้เห็นว่าจากจุดเริ่มต้นที่เป็นความปรารถนาดีแท้ๆ อยากให้ประเทศเจริญก้าวหน้าแต่เมื่อใช้วิธีการที่ผิดเพราะไปยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ หวังจะใช้วิธีการเดิม มาแก้ปัญหาอย่างอื่นซึ่งไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือ เมื่อรู้ว่าผิดกลับไม่ยอมแก้ไข ยังฝืนดึงดันต่อไป ด้วยการใช้เกมการเมือง มุ่งเอาชนะกำจัดศัตรูคู่แข่ง ผลคือประเทศเสียหายยับเยิน ต้องรอจนเหมาเจ๋อตุงตาย เติ้งเสี่ยวผิงกลับมามีอำนาจ และใช้วิธีที่ว่า แมวสีอะไรก็ได้ขอให้จับหนูได้ถือว่าเป็นแมวที่ดี คือจะดูว่าวิธีการไหนถูกหรือผิดอย่าเสียเวลาเถียงกันทางทฤษฎีมากเกินไป ไตร่ตรองให้ดีแล้วลองทำดู จากนั้นให้สังเกตผลลัพธ์ว่าออกมาดีหรือไม่ ถ้าออกมาดีก็แสดงว่าวิธีการนั้นใช้ได้ ขณะเดียวกันสิ่งใดที่คิดว่าดี แต่เมื่อทำแล้วออกมาไม่ดี แสดงว่าใช้ไม่ได้ ก็ต้องปรับวิธีการใหม่ เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงใช้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เศรษฐกิจจีนจึงได้รับการปลดปล่อยจากระบบเดิม เปลี่ยนมาตั้งอยู่บนฐานแนวคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผงาดขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลกในยุคนี้
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะรับมือให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง จะต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ อย่ามุ่งหวังแต่จะนำวิธีการที่เคยทำงานแล้วประสบความสำเร็จมาใช้อีกในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ถ้าจะนำมาใช้ต้องพิจารณาดูว่าสิ่งแวดล้อมยังเหมือนเดิมไหม เงื่อนไขต่างๆ ยังเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนเดิมเราต้องมีการปรับกระบวนการในการทำงาน ถ้าสิ่งแวดล้อม เงื่อนไข ปัจจัย เปลี่ยนไปมาก เราก็ยิ่งต้องปรับมาก ถ้าเปลี่ยนน้อยก็ปรับน้อย ว่าไปตามส่วน ต้องใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัว


            วิธีการนี้ใช้ได้ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลจนถึงระดับประเทศและใช้ได้ในทุกๆหน่วยงาน ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นมากมาย ให้เราได้ศึกษาเช่น กรณีของบริษัท IBM ที่เคยผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลกในยุคหนึ่ง แต่เมื่อติดอยู่กับวิธีการแบบเก่าไม่ทันเห็นความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ในขณะที่บิลเกตส์เห็นความเปลี่ยนแปลง มองออกว่าต่อจากนี้ไปสิ่งที่จะทำกำไรนั้นไม่ใช่ฮาร์แวร์ไม่ใช่ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่จะเป็นซอฟแวร์แทน ในช่วงที่บิลเกตส์จับงานตรงนี้ เป็นช่วงเวลาที่ IBM เป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ขณะที่บิลเกตส์กับไมโครซอร์ฟของเขายังอยู่ในโรงรถอยู่เลย แต่เวลาผ่านไปแค่ 10 กว่าปี IBM ผลประกอบการตกต่ำ จนเกือบล้มละลาย ต้องเปลี่ยนตัวผู้บริหารปฏิรูปบริษัทขนานใหญ่ แต่ไมโครซอร์ฟกลับเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลกแทน และช่วงหนึ่งมีมูลค่าของหุ้นโดยรวมทั้งบริษัทถึง 1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐคิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 ล้านล้านบาท ความสำเร็จความก้าวหน้ามาจากวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องและมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เปลี่ยนไปนั่นเอง ต่อมาก็มาถึงคราวที่ Google ผงาดขึ้นมา ขณะที่บิลเกตส์มองข้ามความสำคัญของอินเตอร์เน็ต เห็นว่าเป็นของเด็กเล่นแต่นักศึกษาปริญญาเอก 2 คน จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จับทางถูกรู้ว่าอินเตอร์เน็ตจะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และมองว่าต่อไปข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจะมีมากมายมหาศาลจนค้นหาข้อมูลได้ยาก ดังนั้นหากสร้างโปรแกรม Search engine ขึ้นมาเป็นเครื่องมือช่วยในการหาข้อมูลน่าจะได้รับความนิยม ทั้งสองจึงจับมือกันตั้งบริษัท Google ขึ้น เวลาผ่านไปแค่ 7-8 ปี Google กลายเป็นบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดเป็นหลักแสนล้านเหรียญ ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้จับถูกทาง สามารถปรับเปลี่ยนพัฒนาวิธีการสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้


            การเปลี่ยนแปลงของโลกขณะนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ใครรับมือทันก็เจริญเติบโตต่อไป ใครรับมือไม่ทันก็จะล้มหายตายจาก ในประเทศญี่ปุ่นยุคหนึ่งบริษัท KDD เป็นบริษัทโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีโทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น ผลการประกอบการของบริษัทนี้ก็กระทบกระเทือนทันที ราคาค่าโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ ลดลงเหลือแค่ไม่ถึง หนึ่งในสิบบริษัทแทบล้มครืน ต้องปรับตัวขนานใหญ่ เมื่อสิ่งแวดล้อมในการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมากขนาดนี้ เราจึงต้องตามเปลี่ยนแปลงให้ทัน อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ แต่ให้หมั่นสังเกตหาข้อมูลดูการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับฟังความเห็นของคนอื่น แม้เราจะเป็นผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถอยู่แล้วก็ตาม ยิ่งถ้าหากเป็นผู้นำระดับสูง มีลูกน้องบริวารมาก ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะจะมีคนประจบเอาใจเพราะหวังพึ่งบารมี หวังผลประโยชน์พวกนี้จะเห็นดีเห็นงามไปกับเราทุกเรื่อง เราจะได้ฟังแต่คำสรรเสริญ คำชื่นชม อย่าเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้น เพราะจะทำให้เราพลาด ไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง ในทางตรงกันข้ามเราต้องกล้าที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง รับฟังคำแนะนำตักเตือนด้วยความหวังดี ของบุคคลอื่นด้วย เราถึงจะได้รับข้อมูลที่แท้จริง และสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ให้มองว่าใครที่เข้ามาหาเรา แล้วกล้าให้ข้อมูลความจริง กล้าที่จะแย้งเมื่อเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนเช่นนี้เป็นคนที่มีคุณค่า


            ฮ่องเต้จีนในประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน องค์ไหนที่ชอบแต่คนประจบสอพลอ ผลก็คือราชวงศ์ล่มสลาย แต่ถ้าเลือกที่จะใช้ขุนนางที่กล้าทักท้วง กล้ารายงานกราบทูลความจริงก็จะประสบความสำเร็จ ราชวงศ์และประเทศชาติก็จะรุ่งเรือง ประชาชนก็อยู่ด้วยความผาสุก เรื่องราวเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกยุค ทุกสมัย เราจะรับมือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ต้องอย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิม อย่าใช้วิธีการเดียวกันในการแก้ปัญหาทุกสิ่ง แต่จะใช้ตาดูหูฟังใจเปิด พร้อมรับฟังข้อมูลความคิดเห็นจากทุกๆคน แล้วเราจะไม่พลาด เราจะประสบความสำเร็จในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด

----------------------------------------------------------------------------------

หนังสือ " ทันโลกทันธรรม 3  "

พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.024304799238841 Mins