สมุคคชาดก ฤๅษีกับยักษ์ เปรียบหญิงมีอาการคล้ายก้นเหว
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์สละกามเข้าไปในดินแดนป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี ได้อภิญญาและสมาบัติแล้ว ดำรงชีพอยู่ด้วยผลไม้น้อยใหญ่ ณ ที่ไม่ไกลบรรณศาลาของพระโพธิสัตว์นั้น มียักษ์ทานพตนหนึ่งอยู่ ยักษ์นั้นเข้าไปหาฤาษี ฟังธรรมอยู่เสมอๆ อนึ่ง ยักษ์นั้นมักไปอยู่ที่หนทางที่มนุษย์ทั้งหลายสัญจรไปมาในดง เห็นมนุษย์เดินทางมาก็จับกินเสีย.
ครั้งนั้น ในแคว้นกาสี มีนางกุลธิดาคนหนึ่ง มีรูปร่างสวยงามมาก อาศัยอยู่ ณ ปัจจันตคามแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง นางมาเพื่อจะเยี่ยมมารดาบิดา ในเวลากลับทานพนั้นเห็นพวกบริวารของนาง จึงวิ่งขับไล่ ด้วยรูปร่างที่น่ากลัวพวกบริวารที่ถือข้าวของไปต่างก็พากันทิ้งสิ่งของหนีไปสิ้น ทานพเห็นสตรีรูปงามนั่งมาในยาน เกิดจิตปฏิพัทธ์ จึงนำไปถ้ำของตนเลี้ยงดูเป็นภรรยา ตั้งแต่นั้นมา ทานพได้นำเนยใส ข้าวสาร ปลา เนื้อ เป็นต้น และผลไม้ที่อร่อยมาเลี้ยงดูภรรยา และ ประดับนางด้วยเครื่องประดับ ให้นางนอนในสมุค (ภาชนะ) รูปร่างเหมือนขวด แล้วกลืนสมุคนั้นเข้าไว้ในท้อง พิทักษ์รักษาภรรยาด้วยท้อง
วันหนึ่ง ทานพนั้นไปสระน้ำแห่งหนึ่งเพื่อจะอาบน้ำ จึงคายสมุคออกแล้วเอานางออกจากสมุคนั้นให้อาบน้ำ ทาแป้ง แต่งกาย แล้ว กล่าวว่า เธอจงตากอากาศสักครู่หนึ่ง ให้นางยืนอยู่ใกล้ๆ สมุค ตนเองก็ลงไปที่ท่าน้ำ มิได้มีความสงสัยภรรยา จึงได้ไปอาบไกลไปหน่อย
ขณะนั้น วิทยาธรชื่อว่าวายุบุตรเหน็บพระขรรค์เหาะมา นางนั้นเห็นวิทยาธรแล้วยกมือชูขึ้นเป็นเชิงให้รู้ว่า มานี่เถิดท่าน วิทยาธรก็ลงมาทันที ลำดับนั้น นางเอาวิทยาธรนั้นใส่ในสมุค พลางนั่งลงบนสมุค ครั้นเห็นทานพมา ก็ยืนขึ้นเพื่อแสดงตนแก่ทานพนั้น เมื่อทานพเดินมายังไม่ทันถึงสมุค นางก็เปิดสมุคออกแล้วเข้าไปข้างในนอนทับวิทยาธรแล้วเอาผ้าห่มของตนคลุมไว้ ทานพมาถึงก็ไม่ได้ตรวจตราสมุคให้ดี กลืนสมุคเข้าไปด้วยเข้าใจว่าเมียเราคนเดียว แล้วเดินทางเพื่อกลับไปถ้ำของตน
ในระหว่างทางทานพคิดว่า เราไม่ได้เยี่ยมท่านฤๅษีเสียนาน วันนี้เราจักนมัสการท่านก่อน จึงไปสู่สำนักท่านฤๅษี ฤๅษีเห็นทานพนั้นมา แต่ไกลรู้ว่ามีคนสองคนอยู่ในท้อง เมื่อจะเจรจา จึงได้ทัก ว่า
ท่านทั้งสามคนพากันมาจากที่ไหนหนอ ท่านทั้งหลายมาดีแล้ว เชิญมานั่งที่อาสนะนี้เถิด ท่านผู้เจริญทั้งหลายเห็นจะสุขสบายดี ไม่มีความป่วยไข้กระมัง นานมาแล้ว ท่านทั้งหลายพึ่งมาในที่นี้?
ทานพได้ฟังดังนั้น คิดว่า เรามาสำนักท่านฤๅษีนี้คนเดียว เท่านั้น แต่ท่านฤๅษีนี้กล่าวว่าสามคน ท่านฤๅษีกล่าวดังนี้เพราะเหตุไร ท่านฤๅษีนี้รู้สภาพความจริงจึงกล่าวหรือ หรือว่าเป็นบ้าจึงเพ้อไป เข้าไปหาท่านฤๅษีนมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อ จึงเจรจากับท่านฤๅษีนั้นว่า
เราคนเดียวเท่านั้นมาถึงที่นี้ในวันนี้เอง อนึ่ง ใครที่จะเป็นคนที่สองของเราก็ไม่มี ข้าแต่พระฤๅษี คำที่ท่านกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านทั้งสามคนพากันมาจากที่ไหนหนอ ดังนี้ หมายถึงอะไร?
ท่านฤๅษีย้อนถามว่า อาวุโส ท่านต้องการฟังจริงๆ หรือ ? เมื่อทานพตอบว่า จริงครับ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง
ท่านคนหนึ่ง และภรรยาที่รักของท่านที่ท่านใส่ไว้ในสมุคคนหนึ่ง ภรรยาที่ท่านรักษาไว้ในท้องของท่านทุกเมื่อ ยินดีอยู่กับวิทยาธรชื่อว่าวายุบุตรภายในท้องของท่านนั้นอีกคนหนึ่ง.
ทานพได้ฟังดังนั้นก็สะดุ้งกลัวว่า ธรรมดาวิทยาธรย่อมมีมายามาก ถ้าวิทยาธรนั้นมีพระขรรค์อยู่ในมือก็จักผ่าท้องเราหนีไป จึงคายสมุควางไว้ตรงหน้าทันที.
ได้เห็นภรรยาผู้ทัดทรงดอกไม้อันสะอาด ยินดีอยู่กับวิทยาธรชื่อว่าวายุบุตร ในสมุคที่อยู่ในท้องของตนนั้น.
พอทานพเปิดสมุคขึ้นเท่านั้น วิทยาธรก็ร่ายวิชา ถือพระขรรค์ เหาะไปในอากาศ
ทานพเห็นดังนั้นก็มีความยินดีต่อฤๅษี จึงได้กล่าวว่า
" บัณฑิตจะพึงวางใจอย่างไรได้ว่า หญิงนี้เรารักษาไว้ดีแล้ว วิธีที่จะป้องกันรักษาหญิงผู้มีหลายใจ ไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่าหญิงเหล่านั้นมีอาการคล้ายก้นเหว ที่เรียกกันว่า บาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้น ย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น "
ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ทานพได้หมอบลงแทบเท้าของฤๅษี กล่าวสรรเสริญชื่นชมฤๅษีว่า ข้าพเจ้าได้ชีวิตไว้ เพราะอาศัยท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่ถูกนางผู้มีธรรมลามกนี้ใช้ให้วิทยาธรฆ่า แม้ฤๅษีครั้นแสดงธรรมแก่ทานพนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านอย่าได้ทำกรรมชั่วอะไรๆ แก่หญิงนี้ จงรับศีล ให้ทานพนั้นตั้งอยู่ใน ศีลห้า ทานพคิดว่า แม้เราจะพิทักษ์รักษาด้วยท้อง ก็ยังไม่อาจรักษาหญิงนั้นไว้ได้ คนอื่นใครเล่าจะรักษาได้ จึงส่งนางนั้นไปแล้ว ตนเองก็เข้าป่าอันเป็นที่อยู่ของตน.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ได้ทรงประกาศสัจธรรมเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสัน ได้ดำรงผู้ในโสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ฤๅษีผู้มีทิพยจักษุในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.