ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : อรรถกถาชาดกรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อัณฑภูตชาดก ชาดกว่าด้วยหญิงที่เลี้ยงไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์

19-2-64-1-s.jpg

อัณฑภูตชาดก ชาดกว่าด้วยหญิงที่เลี้ยงไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์

                ในอดีตกาล ณ เมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตพระองค์หนึ่งทรงเอาพระทัยใส่ดูแลพสกนิกรเป็นอย่างดี อาณาประชาราษฎร์มีความสมบูรณ์พูนสุขทั่วหน้ากัน     

                ในยามว่าง พระราชาโปรดการทรงสกากับท่านปุโรหิตผู้หนึ่ง ซึ่งมีฝีมือในการเล่นสกาใกล้เคียงพระองค์ แต่ทว่าในการเล่นสกาในแต่ละครั้ง พระราชามักจะทรงชนะปุโรหิตเสมอ โดยทรงมีเคล็ดในการข่มขวัญปุโรหิตด้วยการตรัสเป็นกลอนว่า

แม่น้ำทุกสายไหลคด ป่าทั้งหมดสำเร็จด้วยไม้ หญิงทั้งหลายคงทำชั่ว เมื่อได้โอกาสในที่ลับตา

                  กลอนบทนี้มีเนื้อความย่ำยีความประพฤติของสตรีอย่างเสียหาย เพราะในสมัยนั้น สตรีส่วนมากมีนิสัยเสเพล ชอบเที่ยวเตร่คบชู้สู่ชายจนบุรุษทั้งหลายไม่อาจเชื่อถือในความเป็นกุลสตรีของเธอได้สนิทใจ

                  ท่านปุโรหิตได้ขยินกลอนบทนี้ทีไรก็ไม่ค่อยสบายใจทุกครั้ง เพราะท่านไม่เชื่อในบทกลอนที่พระราชาตรัส แต่พระราชานั้นเล่าพระองค์ไม่เคยตรัสอะไรเมื่อไม่ทรงแน่พระทัย ท่านปุโรหิตจึงลังเลทุกครั้งที่ได้ยินกลอนบทนี้ สมาธิในการทอดลูกบาศก์จึงไม่ดีต้องพ่ายแพ้ต่อพระราชาเสมอ ๆ

                  วันหนึ่ง ท่านปุโรหิตคิดหาทางที่จะพิสูจน์เพื่อลบล้างคำสบประมาทสตรีที่พระเจ้าพรหมทัตตรัสไว้ เพราะคิดว่าการที่สตรีทั้งหลายไม่เป็นที่น่าไว้วางใจก็เพราะนางมีโอกาสเที่ยวเตร่มาก ได้พบปะกับบุรุษไม่เลือกหน้า จิตใจจึงไม่มั่นคงต่อชายเพียงคนเดียว หากสามารถเลี้ยงสตรีไว้ให้พบชายได้เพียงคนเดียว สตรีนั้นก็ย่อมจะจงรักภักดีในชายผู้นั้นเพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน

                  เพื่อพิสูจน์ความเชื่อประการนี้ ท่านปุโรหิตจึงเที่ยวเสาะหา หญิงมีครรภ์ที่ยากจนได้ผู้หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะต้องตามตำราว่าจะให้กำเนิดบุตรสาว ท่านจึงนำหญิงนั้นมาเลี้ยงดูอย่างดี จนกระทั่งนางคลอดบุตรเป็นหญิงสมดังที่คาดคะเนไว้

                  ท่านปุโรหิตจึงได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้นางไปตั้งตัวประกอบอาชีพ แล้วรับบุตรสาวของนางมาอุปการะ

                  ท่านปุโรหิตทะนุถนอมทารกหญิงราวแก้วตาดวงใจ ให้การบำรุงบำเรออย่างดีโดยให้อยู่ในเรือนหลังใหญ่ซึ่งมีซุ้มประตูถึง  ๗ ซุ้ม มีกำแพงลดหลั่นกันถึง ๗ ชั้น มีนางทาสีเป็นบริวารดูแลมากมาย ทุกๆซุ้มประตูจะมียามซึ่งเป็นหญิงคอยดูแลความปลอดภัยและป้องกันมิให้บุรุษอื่นใดเว้นแต่ท่านปุโรกิตเท่านั้นที่จะเข้ามาพบเด็กหญิงน้อย ๆ ผู้นี้ได้

                 เมื่อเด็กน้อยมีอายุย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่น  ก็ได้เป็นภรรยาของท่านปุโรหิต  นางเป็นที่รักที่หลงใหล  และเป็นความภาคภูมิใจของท่านปุโรหิตยิ่งนัก

                  บัดนี้  ท่านปุโรหิตสามารถทำให้เกิดมีหญิงที่เป็นกุลสตรี  มีสัมพันธ์เพียงชายเดียวได้แล้ว  ท่านปุโรหิตจึงทูลเชิญพระเจ้าพรหมทัตทรงสกาอีกครั้ง  หลังจากที่เลิกรามาช้านาน

                  พระเจ้าพรหมทัตทรงดีพระทัยที่ได้ทรงสกากับท่านปุโรหิตอีก ทุกครั้งที่ทรงทอดลูกบาศก์  พระองค์ทรงร้องกลอนบทเดิมว่า

แม่น้ำทุกสายไหลคด ป่าทั้งหมดสำเร็จด้วยไม้ หญิงทั้งหลายคงทำชั่ว เมื่อได้โอกาสในที่ลับตา

                  แต่คราวนี้  ท่านปุโรหิตต่อความขึ้นว่า....

“ยกเว้นมาณวิกาของข้าพระพุทธเจ้า”

                  พระเจ้าพรหมทัตถึงกับทรงชะงัก  พระองค์ทรงแปลกพระทัยอย่างยิ่งด้วยทรงคาดไม่ถึงว่า  ท่านปุโรหิตจะมีถ้อยคำมาต่อท้ายบทกลอนของพระองค์ด้วยท่าทีที่มั่นใจและกระหยิ่มยิ้มย่องเช่นนั้น  พระสมาธิของพระองค์จึงไม่มั่นคง  วันนั้นพระเจ้าพรหมทัตทรงแพ้สกาอย่างยับเยินและในการทรงสกาครั้งต่อ ๆ มาก็ทรงพ่ายแพ้ทุกครั้ง เมื่อท่านปุโรหิตกล่าวคำว่า  “ยกเว้นมาณวิกาของข้าพระพุทธเจ้า” ทำให้พระองค์ทรงสงสัยนักว่า  มาณวิกา  คือใคร

                 พระเจ้าพรหมทัตจึงมีรับสั่งให้อำมาตย์คนสนิทไปสืบดูว่าใครคือ  มาณวิกา ที่ท่านปุโรหิตกล่าวถึง  ครั้งทรงทราบแล้ว  พระองค์ได้ตรัสให้พานักเลงผู้หนึ่งมาพบ  แล้วตรัสกับนักเลงผู้นั้นว่า

ข้ามีงานชิ้นหนึ่งให้เจ้าทำ  งานนี้ต้องใช้ฝีมือและชั้นเชิงมาก  เจ้าจะทำได้ไหม?”

หากเป็นพระราชประสงค์  แม้จะยากเย็นแสนเข็ญสักปานใด  ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายชีวิตทำให้สำเร็จให้จงได้  ขอพระองค์ทรงวางพระทัยเถิด  พระเจ้าข้า

                 พระเจ้าพรหมทัตจึงให้นักเลงไปหาทางผูกสมัครรักใคร่กับสาวน้อยมาณวิกา  พระองค์ตรัสว่า

อาศัยรูปโฉมและคารมของเจ้า  มาณวิกาต้องหลงรักเจ้าแน่ ข้าไม่เชื่อว่าจะมีหญิงที่มั่นคงจงรักต่อชายเพียงคนเดียวได้ตลอดไป  ถ้านางมีโอกาสได้พบชายมากกว่าหนึ่งคน

                 จากนั้นพระเจ้าพรหมทัตได้พระราชทานทรัพย์ให้นักเลงไปใช้จ่ายในการทำงานในครั้งนี้  นักเลงได้นำเงินไปเปิดร้านขายเครื่องประดับ  ขายดอกไม้และของหอมทุกชนิดซึ่งเป็นของที่ผู้หญิงชอบ  ในบริเวณทางผ่านใกล้บ้านท่านปุโรหิต  แล้วคอยสอดส่องสืบถามความเป็นไปในบ้านนั้นอย่างใจจดใจจ่อ

                 ไม่ช้า นางทาสีต้นห้องของนางมาณวิกาก็ออกมาซื้อดอกไม้น้ำอบน้ำหอมให้นายสาวของตน เมื่อนักเลงเห็นนางทาสีแวะมาเลือกซื้อของที่ร้านตน  ก็รีบถลาเข้าไปกอดเท้าของนางไว้แน่น  พลางบีบน้ำตาร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน  รำพึงว่า

แม่จ๋า...แม่ไปอยู่เสียที่ไหน  ลูกตามหาแม่มาแสนนาน  เพิ่งพบแม่วันนี้เอง  ฮือ...ฮือ...

                 นางทาสีตกใจละล้าละลัง  เพราะไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อน  ทันทีนั้นพรรคพวกของนักเลงเจ้ามารยาก็รุมล้อมกันเข้ามา  พลางพูดจาสนับสนุนรับกันว่า

ดูซิ แม่ลูกคู่นี้ ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันจริง ๆ

เจ้าหนุ่มคนนี้  ดูหน้าตาคมคายไม่แพ้แม่นะ...

โถ...น่าสงสาร  อุตส่าห์ตามหาแม่มาตั้งนาน

                 นางทาสีพลันมีอาการราวกับคนบ้าจี้ถูกคนทั้งหลายแซ่ซ้องให้ร้องร่ำขึ้นมาทันที นางใจอ่อนยวบ มีอารมณ์เศร้าสร้อยคล้อยตามถึงกับทรุดกายลงโอบกอดบุตรแอบอ้างนั้นไว้แนบอก  น้ำตาร่วงไหลลงอาบแก้ม  ดูน่าสมเพชเวทนาและน่าขันจนคนทั้งหลายต้องกลั้นยิ้ม

                ครั้นเวลาผ่านไปสักครู่  นักเลงผู้นั้นแสร้งทำเป็นสร่างโศกเช็ดน้ำตาอยู่บ่อย ๆ แล้วอ้อนถามขึ้นว่า

แม่อยู่ที่ไหน...และนี่แม่กำลังจะไปไหนหรือจ๊ะ

แม่อยู่บ้านของท่านปุโรหิต  กำลังจะมาหาซื้อดอกไม้ไปให้แม่หนูมาณวิกานางเป็นคนงามมากทีเดียว ซ้ำยังชอบแต่งตัวด้วยดอกไม้ น้ำอบน้ำปรุง  นางสวยราวกับนางฟ้า  ก็แม่นี่แหละเป็นคนจัดการดูแลทุกอย่างให้  คนอื่นน่ะ  ท่านปุโรหิตไม่ไว้ใจหรอก

                 นักเลงหนุ่มเห็นได้ช่อง  จึงรีบจูงมือนางทาสีเข้ามาในร้านพลางบอกว่า

ต่อไปนี้แม่ไม่ต้องไปหาซื้อของที่ไหนให้คุณหนูมาณวิกาอีกแล้วนะจ๊ะ แม่มาเอาที่ร้านของฉันไปได้เลย

                พูดพลาง  นักเลงหนุ่มก็กุลีกุจอจัดดอกไม้  และเครื่องประทินโฉมนานาชนิดล้วนแต่ดี ๆ งาม ๆ จำนวนมากมาย  มอบให้นางทาสีไปโดยไม่คิดเงิน 

                 เมื่อมาณวิกาได้รับดอกไม้  เครื่องหอมดี ๆ มากมายกว่าที่เคยได้รับก็ดีใจเปรยว่า

วันนี้ท่านปุโรหิตใจดีจังนะ ซื้อของให้ตั้งเยอะ

โธ่เอ๋ย  ท่านปุโรหิตไม่ได้ใจดีพิเศษอะไรหรอก  ลูกชายฉันต่างหากที่ให้ของพวกนี้มา เขาเป็นเจ้าของร้านเองเชียวนะ  หน้าตาเขาหล่อเหลาทีเดียวเชียว  พูดจาก็เพราะ  แล้วยังใจดีอีกด้วย  นางพร่ำสรรเสริญความดีของลูกชายรับสมอ้างเสียยืดยาว

                 ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  เมื่อได้รับเงินไปซื้อของ  นางทาสีจะตรงไปที่ร้านของลูกชาย  ครั้นเขาจัดสิ่งของให้มากมายเกินกว่าต้องการนางก็รับเอาไป  แล้วริบเงินนั้นไว้เสียเองทุกครั้ง  เวลาปรนนิบัติรับใช้นายสาว  นางก็พร่ำพูดสรรเสริญลูกชายอย่างไม่รู้เบื่อจนมาณวิกาพลอยหลงใหลชื่นชมไปด้วย

                  เวลาผ่านไปอีก ๒-๓ วัน  หนุ่มนักเลงก็เริ่มแผนการขั้นต่อไป  วันนั้นนางทาสีมาถึงร้าน  ไม่พบชายหนุ่มเช่นเคยจึงสอบถามคนรับใช้  ครั้นรู้ว่าป่วยก็เข้าไปเยี่ยมถึงห้องนอน  ลูบหน้าลูบหลัง  ซักถามอาการด้วยความเป็นห่วง เขาแสร้งอมพะนำอ้ำอึ้งอยู่เป็นเวลานาน จึงยอมบอกว่า

แม่จ๋า...ฉันคิดถึงมาณวิกาเหลือเกิน  ชาตินี้ถ้าฉันไม่ได้พบนาง  ฉันคงตายแน่  ฉันหมดกะจิตกะใจจะทำมาค้าขาย  ไม่อยากจะอยู่ดูโลกต่อไปอีกแล้ว

                  นางทาสีเห็นชายหนุ่มพร่ำเพ้อรำพันถึงมาณวิกาเช่นนั้นก็พาซื่อหลงเชื่อ  ประกอบกับนางอยากเอาใจชายหนุ่มเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน  จึงรับอาสาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้

                  วันนั้น  นางขนดอกไม้  ของหอม กลับไปฝากนายสาวอย่างมากมายแล้วทำลับลมคมในเข้าไปกระซิบกระซาบบอกความในใจของลูกชายจอมปลอมด้วยอาการทุกข์ร้อนราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

แม่มาณวิกาจ๊ะ  ลูกชายฉันเขาฝากดอกไม้กับน้ำหอมมาให้แน่ะจ๊ะ  ตอนนี้เขาไม่ค่อยสบาย บ่นคิดถึงหนูแนะ นี่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อไม่เป็นอันกินอันนอนเชียว  เขาบอกว่าถ้าได้พบหนูสักครั้งแม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต  หนูจะว่าไงจ๊ะ

แหม  ถ้าถึงขนาดป่วยไข้ก็น่าสงสารนะ  แต่ฉันออกไปไม่ได้นี่  ถ้าเขาอยากมาพบฉันจริง ๆ ก็ใช้ความสามารถเข้ามาหาเองซิ”  นางตอบอย่างมีนัย

                   นางทาสีดีใจมากที่สามารถกรุยทางได้สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว  จากนั้น นางก็เริ่มวางแผนกำราบหญิงรับใช้และยามประตูให้อยู่ในอำนาจของตนโดยอาศัยที่นางเป็นคนสนิทของมาณวิกา  ทาสีคนใดที่กระด้างกระเดื่องเคร่งครัดต่อหน้าที่  นางก็กลั่นแกล้งด้วยวิธีต่าง ๆ จนหญิงเหล่านั้นคับใจลาออกไปบ้าง  หลบ ๆ หลีก ๆ นางบ้างเพราะเข็ดขยาดในความร้ายกาจของนาง  จนไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องเอาธุระด้วย นางอยากทำอะไรก็ทำไป

                   เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้ว  นางทาสีก็ลอบพานักเลงหนุ่มเข้ามาถึงห้องของนางมาณวิกา โดยให้ซ่อนตัวมาในกล่องดอกไม้ขนาดใหญ่ใส่รถเข็นผ่านประตูต่าง ๆ เข้ามาอย่างสบาย เพราะไม่มีใครตรวจค้น หรือแม้แต่จะซักถาม

                   เมื่อมาณวิกาได้พบชายหนุ่มรูปงาม นางบังเกิดความพึงพอใจเป็นอันมาก นักเลงหนุ่มได้พูดจาหว่านล้อมเล้าโลมจนได้นางเป็นภรรยาในวันนั้น

เวลาผ่านไปได้ ๒-๓ วัน มาณวิกาเกรงจะพลาดพลั้งถูกจับได้  จึงตัดใจบอกชายชู้กลับออกไปเสีย  ทั้ง ๆ ที่แสนอาลัย

นักเลงหนุ่มจึงแสร้งอิดออดต่อว่าต่อขาน

มาณวิกา เจ้าสิ้นรักพี่แล้วหรือ จึงพูดเหมือนจะเร่งให้พี่รีบไป

ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ๊ะ แต่หากว่าพี่อยู่หลายวัน ความต้องแตกแน่ น้องเกรงใคร ๆ จะสงสัย อีกอย่างหนึ่ง ท่านปุโรหิตมีพรรคพวกมาก มีอำนาจมาก หากท่านรู้เรื่องของเราเข้า เราต้องลำบากแน่ ๆ  นางให้เหตุผล

ก็จริงของน้อง แต่พี่แค้นใจนักที่จะต้องเสียน้องให้กับเจ้าแก่นั่น อยากจะแก้แค้นมันจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ถ้าพี่กลับไปเปล่า ๆ พี่คงนอนไม่หลับแน่ อย่างน้อย ๆ ได้เขกหัวมันสักโป๊กก็ยังดี

ถ้าแก้แค้นแค่นี้จะไปยากอะไร มาณวิกาตอบ

น้องจะทำอย่างไรล่ะจ๊ะ นักเลงหนุ่มถามด้วยความยินดีที่ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน

                 มาณวิกาจึงกระซิบกระซาบแผนการของนางให้นักเลงหนุ่มทราบ และแล้วค่ำวันนั้นเอง เมื่อท่านปุโรหิตเข้ามา มาณวิกาก็เข้าเคล้าเคลียปรนนิบัติยิ่งกว่าเคย พร่ำรำพันถึงความสำนึกในบุญคุณที่ท่านมีต่อนางอย่างล้นเหลือ พลางอาสาขอฟ้อนรำบำเรอ

                 ท่านปุโรหิตมีความหลงใหลในเสน่ห์ของนางมากเป็นทุนอยู่แล้ว จึงยิ่งรู้สึกบันเทิงใจเป็นพิเศษ หยิบพิณมาบรรเลงเป็นจังหวะฟ้อนให้

                นางร่ายรำอยู่สักครู่  ก็แสร้งทำเป็นเขินอาย  กล่าวแก่ท่านปุโรหิตว่า  นางไม่อาจฟ้อนต่อไปได้  เพราะถูกท่านจ้องจนเขิน  แต่นางก็ยังไม่อยากหยุดฟ้อนเลย  ขอเอาผ้าผูกหน้าปิดตาท่านไว้ก่อน

                พลางเยินยอความชำนาญในการบรรเลงพิณ  จนท่านยอมให้นางเอาผ้ามาปิดตาไว้แน่น  แล้วบรรเลงพิณให้นางฟ้อนต่อไป

                นางฟ้อนไปได้ชั่วอึดใจ  ก็จงใจร่อนถลาไปเหยียบปลายเท้าท่านปุโรหิตข้างหนึ่ง  แล้วแสร้งทำเป็นลนลานเข้าไปกอดขา  ละล่ำละลักขออภัยโทษ อ้างว่าเพลงพิณของท่าน ไพเราะจนเคลิ้มไป ลืมระวังตัว

                 ท่านปุโรหิตปลาบปลื้มบันเทิงใจเป็นที่สุด กล่าวให้อภัย  ซ้ำพูดเอาใจว่า

สำหรับมาณิวิกาแล้ว ไม่มีความผิดใดที่จะยกให้ไม่ได้

               นางมาณวิกาเห็นเป็นโอกาสดี  จึงเคล้าเคลียหนักขึ้น แล้วพูดหยิกแกมหยอกลองใจขึ้นว่า

แม้ดิฉันจะเขกศีรษะท่าน  หรือเจ้าคะ

อย่างนั้นซิจ๊ะ  มาณวิกา  ท่านปุโรหิตเผลอพูดเอาใจ

                 มาณวิกายิ่งแสร้งพูดหยอกเย้าในทำนองไม่เชื่อ  ท่านปุโรหิตถึงแม้จะย่างเข้าวัยชราแล้ว  แต่เมื่อถูกภรรยาสาวคราวลูกเย้ายวน  ก็เผลอสติเล่นคะนองเป็นเด็กไปได้อย่างคาดไม่ถึง  ท่านพยายามจับมือออกปากคะยั้นคะยอให้มาณวิกาเขกศีรษะท่านดูสักครั้ง

                 มาณวิกาแสร้งอิดออด  แล้วทำเป็นเสียไม่ได้  ร้องเตือนท่านปุโรหิตให้ระวังตัวแล้วชายตาให้ชู้ของนางเข้ามาเขกศีรษะแทน

                 นักเลงหนุ่มรอท่าอยู่แล้ว  จึงรีบย่องกริบเข้ามาด้านหลังยกมือขึ้นเขกลงศีรษะท่านปุโรหิตเต็มแรง แล้วรีบหลบเข้าหลังม่านซ่อนตัว

                 ปุโรหิตผู้เฒ่าไม่ทันระวังตัว  เพราะคิดว่ามือเล็ก ๆ ของผู้หญิงคงไม่หนักหน่วงกระไรนัก แต่ครั้นโดนเขกเข้าเต็มแรงท่านก็ถึงกับมึนงง ตาพร่า หัวโน คอย่นไปทีเดียว

                 แต่ถึงกระนั้น ท่านก็ยังอุตส่าห์พูดแก้เก้อ ขอมือนางมาณวิกามาคลำดู แล้วเปรยว่า

มือนิ่ม ๆ อย่างนี้ แต่ทำไมเขกเจ็บจังล่ะจ๊ะ

                 นางมาณวิกาแสร้งออดอ้อนขออภัยโทษท่านปุโรหิต เมื่อคลายผ้าผูกตาออกแล้ว นางรีบสาละวนหาน้ำมันมานวดศีรษะให้ด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ

                 ครั้นสามีชราออกไปแล้ว นางจึงส่งชายชู้ออกจากบ้านไปโดยให้ซ่อนตัวในรถเข็นดอกไม้เหมือนเมื่อเขามา

                 นักเลงผู้นั้นได้เข้าเฝ้ากราบทูลรายงานผลโดยละเอียดต่อพระเจ้าพรหมทัต

                 พระองค์ทรงยินดียิ่งนักที่สามารถหาเหตุผลลบล้างคำพูดของท่านปุโรหิตได้สำเร็จ

                 ดั้งนั้น เมื่อท่านปุโรหิตเข้าเฝ้าปรึกษาราชการงานเมืองเสร็จแล้ว ก็ทรงชวนให้ตั้งกระดานสกาทันที

                 โดยฝีพระหัตถ์เชิงสกาแล้ว พระราชาทรงเล่นได้ดีพอ ๆ กับท่านปุโรหิต การแพ้ชนะจึงถือกำลังใจเป็นสำคัญ ท่านปุโรหิตนั้นถึงแม้จะมีกำลังใจมั่นคงอยู่เหมือนเดิม เพราะยังไม่รู้เรื่องของนางมาณวิกา แต่พระเจ้าพรหมทัตกลับมีกำลังพระทัยเหนือกว่า เพราะทรงทราบว่าท่านปุโรหิตไม่สามารถกล่าวหักล้างบทกลอนของพระองค์ได้อีกต่อไปแล้ว

                 ดังนั้นการเล่นสกาครั้งนี้ ถึงแม้ท่านปุโรหิตจะต่อเพลงคาถาด้วยคำว่า

“ยกเว้นมาณวิกาของข้าพระพุทธเจ้า”  ทุกครั้ง ก็ไม่สามารถเอาชนะพระราชาได้แม้สักครั้ง

                ในที่สุด พระเจ้าพรหมทัตทรงยุติการเล่นสกา แล้วตรัสแก่ท่านปุโรหิตว่า

ท่านพราหมณ์ท่านยังกลาวอย่างนั้นอยู่ได้อย่างไร บัดนี้แม้มาณวิกาที่ท่านอุตส่าห์เลี้ยงดูมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ป้องกันไว้ในเรือนซึ่งมีกำแพงถึง ๗ ชั้น ก็ทำชั่วลามกในที่ลับตาเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าหญิง แม้ชายเอาใส่ไว้ในท้องก็รักษานางไว้ไม่ได้ มาณวิกาเอาผ้าผูกตาท่านแล้วฟ้อนรำ แต่กลับใช้ชายชู้เขกศีรษะของท่าน คราวนี้ท่านจะกล่าวว่า ยกเว้นมาณวิกาได้อย่างไร

                 ปุโรหิตได้ฟังเช่นนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก รีบกราบบังคมลากลับบ้านทันที ครั้งถึงแล้ว จึงรีบเข้าไปซักถาม คาดคั้นให้มาณวิกาสารภาพ

                  นางมาณวิกาเป็นผู้ร้ายใจแข็ง แม้จะรู้ว่าเสียรู้ ถูกชายชู้เอาความลับไปเปิดเผยแล้ว ก็ยังไม่พรั่นพรึง กลับทำมารยาบีบน้ำตาคร่ำครวญว่าถูกใส่ความ นางยืนยันแข็งขันว่าไม่เคยนอกใจ ซ้ำกล่าวสบถสาบานขอทำสัจกิริยาลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์

                  ท่านปุโรหิตสิ้นความไว้วางใจนางแล้ว แต่จะลงโทษก็ยังไม่ถนัด เพราะขาดหลักฐานแน่ชัด เมื่อนางขอลุยไฟ ท่านจึงรับคำทันที พร้อมสั่งให้บ่าวไพรตระเตรียมไม้ฟืนไว้เพื่อทำพิธีลุยไฟในวันรุ่งขึ้น

                  นางมาณวิการู้สึกผิดหวังที่ท่านปุโรหิตไม่ทัดทานการลุยไฟของนางแม้สันิด นางจึงวางแผนเอาตัวรอดทันทีโดยสั่งนางทาสีต้นห้องให้รีบไปบอกชายชู้ของนาง ให้มาช่วยเสริมอุบายทำลายพิธีลุยไฟให้จงได้  พร้อมทั้งออกอุบายเป็นขั้นตอนโดยละเอียดให้ไป

                วันรุ่งขึ้น ฟืนกองใหญ่สำหรับการลุยไฟได้ถูกกองไว้กลางลานบ้าน ชาวบ้านย่านนั้นต่างพากันมาดูมากมาย

                ครั้นได้เวลา นางมาณวิกาทำทีไม่สะทกสะท้าน หวังจะลวงท่านปุโรหิตให้ตายใจ นางก้าวเข้าไปยืนหน้ากองไฟ ประนมมือกล่าวคำสัตย์สาบานต่อหน้ามหาชนว่า

ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ขึ้นชื่อว่าการสัมผัสด้วยมือชายอื่นยกเว้นท่านแล้ว ดิฉันไม่เคย ด้วยสัจจะนี้ ขอไฟอย่าไหม้ดิฉันเลย

ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินเข้ากองไฟ ทันใดนั้น ชายชู้ซึ่งนัดแนะก็ถลันเข้ามายืนหน้ากลุ่มคน พลางประกาศว่า

ท่านทั้งหลาย  ดูเอาเถิด  ท่านปุโรหิตนี้ใจร้ายนัก  ยอมให้ภรรยาผู้งดงามลุยไฟได้

                 แล้วตรงรี่เข้าไปฉุดรั้งมือนางไว้

                 นางมาณวิการีบสะบัดมือ แล้วถลาเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าท่านปุโรหิตพร้อมกับรำพันว่า

ท่านเจ้าขา ดิฉันไม่อาจลุยไฟได้แล้ว ดิฉันตั้งสัตย์อธิษฐานว่าเว้นแต่มือท่าน ดิฉันไม่เคยสัมผัสมือชายอื่นเลย  แต่เมื่อกี้  ชายคนนั้นไม่รู้ความ  มาจับมือดิฉันเสียแล้ว...

ฮ่ะ! ฮ่ะ! ฮ่ะ! มาณวิกาเอ๋ย เจ้าช่างมีมารยามากเหลือเกินทำผิดแล้วยังกล้าสบถสาบาน โกหกหลอกลวงได้ตลอดเวลา  จนดูไม่ออกเลยว่าเมื่อไรพูดจริง  เมื่อไรพูดเท็จ  คนอย่างเจ้าข้าไม่ขอเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุกอีกต่อไปแล้ว  จงรีบออกจากบ้านของข้าไปเดี๋ยวนี้

                 มาณวิกาจึงต้องออกจากเรือนที่เคยอยู่มแต่อ้อนแต่ออกต้องตกระกำลำบากระเหเร่ร่อน  เพราะความไม่จริงใจของนางเอง

ประชุมชาดก

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาแล้วได้ตรัสถึงความประพฤติของหญิงเลวเป็นคาถา  ความว่า

ขึ้นชื่อว่าหญิง  หาความจริงใจได้ยากเต็มที  เป็นโจรมีมารยา  รู้ได้ยากเหมือนการไปของปลาในน้ำ  กลับกลอกเหมือนก้อนกรวดทั้งหยาบกระด้าง  ร้ายกาจ  ความล่อลวงบรรดามีในหมู่มนุษย์  ไม่มีเรื่องใดเลยที่พวกนางจะไม่รู้

คำเท็จของพวกนางเหมือนคำจริง  คำจริงเหมือนคำเท็จ เหมือนโคทั้งหลายกินแต่ยอดอ่อน ๆ ของหญ้าที่มากมาย...ความสงบของเราประเสริฐล้น

                  จากนั้น  พระพุทธองค์ตรัสอริยสัจสี่เพิ่มเติมเป็นอเนกปริยาย พระภิกษุนั้นสามารถประคองใจให้หยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายพระโสดา เป็นพระโสดาบันในขณะนั้นเอง

พระพุทธองค์ทรงประชุมชาดกว่า

พระเจ้าพรหมทัต  ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระองค์เอง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล