สุงสุมารชาดกว่าด้วย ผู้มีปัญญาไม่สมกับตัว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อลเมเตหิ อมฺเพหิ ดังนี้
ความย่อมีว่า ในครั้งนั้นพระศาสดาทรงสดับว่า พระเทวทัตพยายามจะฆ่าพระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพยายามจะฆ่าเรามิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็พยายามเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำแม้เพียงให้หวาดสะดุ้งได้ แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดวานร ในหิมวันตประเทศ มีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ร่างกายใหญ่ มีความงามพร้อม อาศัยอยู่ที่ราวป่าตรงคุ้งแม่น้ำ
ในกาลนั้น จระเข้ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคา ภรรยาของจระเข้เห็นร่างกายพระโพธิสัตว์ แล้วเกิดแพ้ท้องอยากกินเนื้อหัวใจของพระโพธิสัตว์ จึงบอกจระเข้สามีว่า ผัวจ๋า น้องอยากกินเนื้อหัวใจของพญาลิงนั้น. ผัวบอกว่า น้องจ๋า เราเป็นสัตว์เที่ยวไปในน้ำ ลิงเป็นสัตว์เที่ยวไปบนบก เราจะจับลิงนั้นได้อย่างไรเล่า. เมียบอกว่า พี่จระเข้ต้องหาอุบายจับมาให้ได้ หากจับมาไม่ได้ น้องขอตาย. ผัวปลอบว่า อย่าคิดมากไปเลยน้อง พี่มีอุบายอย่างหนึ่ง พี่จะให้น้องกินหัวใจพญาวานรนั้นให้จงได้ จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ดื่มน้ำในแม่น้ำคงคา แล้วนั่งพัก ณ ฝั่งคงคา กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพญาวานร ท่านเดี๋ยว กินผลกล้วยในถิ่นนี้ เที่ยวไปในที่ที่เคยไปอย่างเดียวเท่านั้นหรือ ที่ฝั่งคงคาฟากโน้นมีผลไม้อร่อย เป็นต้นว่า มะม่วงและชมพู่ ไม่รู้จักวาย ท่านไม่ควรไปเคี้ยวกินผลาผล ที่ฝั่งโน้นบ้างหรือ. พญาวานรตอบว่า ท่านพญากุมภีล์ แม่น้ำคงคามีน้ำมาก ทั้งกว้างใหญ่ ข้าพเจ้าจะข้ามไปได้อย่างไรเล่า. จระเข้กล่าวว่า หากท่านจะไป ข้าพเจ้าจะให้ท่านขึ้นหลังเราไป พญาวานรเชื่อจึงยอมตกลง
เมื่อจระเข้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงมาขึ้นหลังเรา พญาวานรจึงขึ้นหลังจระเข้ จระเข้พาไปได้หน่อยหนึ่งก็ดำน้ำจมลง. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า สหายท่านแกล้งทำให้เราจมน้ำ นี่เรื่องอะไรกัน. จระเข้ตอบว่า เรามิได้พาท่านไปตามธรรมดาดอก แต่เมียของเราเกิดแพ้ท้อง อยากกินหัวใจท่าน เราประสงค์จะให้เมียของเรากินหัวใจท่านต่างหาก. พญาวานรกล่าวว่า สหายที่ท่านบอกมาก็ดีแล้ว หากหัวใจอยู่ในท้องของเรา เมื่อเรากระโดดไปตามยอดไม้ หัวใจก็จะพึงแหลกลาญหมด. จระเข้ถามว่า ก็ท่านเอาหัวใจไปไว้ที่ไหนเล่า. พระโพธิสัตว์ชี้ให้ดูต้นมะเดื่อต้นหนึ่งไม่ไกลนัก มีผลสุกเป็นพวงแล้วกล่าวว่า ท่านจงดูหัวใจของข้าพเจ้าแขวนไว้ที่ต้นมะเดื่อนั่น. จระเข้กล่าวว่า หากท่านให้หัวใจแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าท่าน. พญาวานรกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงนำเราไปที่นั่นเถิด เราจะให้หัวใจที่แขวนอยู่บนต้นมะเดื่อแก่ท่าน. จระเข้จึงพาพญาวานรไป ณ ที่นั้น. พระโพธิสัตว์จึงกระโดดจากหลังจระเข้ไปนั่งบนต้นมะเดื่อ กล่าวว่า สหายจระเข้หน้าโง่ เจ้าเข้าใจว่า ธรรมดาหัวใจของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้อยู่บนยอดไม้หรือ เจ้าเป็นสัตว์โง่ เราจึงลวงเจ้าได้ ผลาผลของเจ้าก็จงเป็นของเจ้าเถิด เจ้าก็ใหญ่แต่ตัวเท่านั้น แต่หามีปัญญาไม่
เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ ได้กล่าวคาถานี้ว่า
เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลชมพู่ และขนุนทั้งหลายที่ท่านเห็นฝั่งสมุทร ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่า.
ร่างกายของท่านใหญ่โตก็จริง แต่ปัญญาไม่สมกับร่างกายเลย ดูก่อนจระเข้ เจ้าถูกเราลวงเสียแล้ว บัดนี้เจ้าจงไปตามสบายเถิด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อลเมเตหิ ความว่า เราไม่ต้องการผลไม้ที่ท่านเห็นบนเกาะ. บทว่า วรํ มยฺหํ อุทุมฺพโร คือมะเดื่อต้นนี้ของเราดีกว่า. บทว่า ตทูปิกา ความว่า เจ้ามีปัญญานิดเดียว ไม่สมกับร่างกายของเจ้าเลย. บทว่า คจฺฉทานิ ยถาสุขํ ความว่า เจ้าจงไปตามสบายเถิด. อธิบายว่า อุบายที่เจ้าจะได้เนื้อหัวใจไม่มีแล้ว.
จระเข้เป็นทุกข์ เสียใจ ซบเซา ดุจเสียพนันแพ้ไปตั้งพัน ได้กลับไปที่อยู่ของตนตามเดิม.