อรรถกถา เวนสาขชาดก
ว่าด้วย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ณ เมืองสุงสุมารคีรี ในแขวงภัคคชนบท พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน ทรงปรารภโพธิราชกุมารและตรัสเล่าเรื่องชาดกนี้ความอิจฉาที่นำไปสู่กรรมหนัก โพธิราชกุมาร โอรสของพระเจ้าอุเทน มีรับสั่งให้ช่างไม้ผู้เชี่ยวชาญสร้างปราสาทโกกนุทที่ไม่เหมือนใคร เมื่อสร้างเสร็จ พระองค์กลับเกิดความระแวงว่า ช่างไม้อาจไปสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้ผู้อื่น จึงสั่งให้ควักลูกตาของช่างไม้เสียเพื่อป้องกันไม่ให้เขาสร้างอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้
ภิกษุทั้งหลายได้ยินข่าวนี้ก็พากันสนทนาว่า "โอ! โพธิราชกุมารช่างโหดร้ายยิ่งนัก!" เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสดับเรื่องราว จึงตรัสว่า"ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงชาตินี้เท่านั้นที่โพธิราชกุมารทำกรรมหยาบช้า แม้ในอดีตก็เคยกระทำกรรมเช่นเดียวกันและได้รับผลกรรมเช่นกัน"แล้วพระองค์ทรงเล่าเรื่องราวในอดีต...กษัตริย์ผู้เหี้ยมโหดกับอาจารย์ผู้เมตตา
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองตักกสิลา สอนศาสตร์ทุกแขนงให้แก่เหล่ากษัตริย์และพราหมณ์จากทั่วชมพูทวีปหนึ่งในศิษย์ของพระองค์คือ พรหมทัตกุมาร โอรสแห่งพระเจ้าพาราณสี แต่พรหมทัตกุมารมีนิสัยกักขฬะ โหดร้าย และไม่เคารพชีวิต พระโพธิสัตว์มองออกว่าศิษย์ผู้นี้เป็นคนใจร้าย จึงเตือนสติว่า
"ลูกเอ๋ย อำนาจที่ได้มาด้วยความโหดร้ายไม่จีรังยั่งยืน เมื่อสูญเสียอำนาจไป เจ้าจะไร้ที่พึ่งเหมือนคนเรือแตกกลางทะเล ฉะนั้นจงอย่ากระทำกรรมชั่วเลย"
แม้พระโพธิสัตว์จะเตือนแล้ว แต่พรหมทัตกุมารก็หาได้ใส่ใจไม่เมื่อกลับไปพาราณสี พระบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์ขึ้นครองราชย์ และมีปุโรหิตผู้ละโมบชื่อ "ปิงคิยะ" ซึ่งแนะนำให้กษัตริย์จับกษัตริย์องค์อื่นๆ ทั่วชมพูทวีปเพื่อสังเวยแก่เทพเจ้า โดยกล่าวว่า "มหาราชเจ้า หากเราสังเวยพระราชาทั้ง 1,000 องค์ด้วยเลือดเนื้อของพวกเขา เทพเจ้าจะประทานชัยชนะให้เราแต่เพียงผู้เดียว"
พรหมทัตกษัตริย์หลงเชื่อ จึงออกศึกจับกษัตริย์องค์อื่นมาฆ่า และควักลูกตาของพวกเขาเพื่อทำพิธีพลีกรรมกรรมตามสนองอย่างสาสม คืนหนึ่งหลังจากพลีกรรมเสร็จสิ้น พระเจ้าพาราณสีประทับอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา จู่ๆ ยักษ์ตนหนึ่งชื่อ "อัชชิสกตะ" ก็ปรากฏตัวขึ้น ควักดวงตาขวาของพระองค์ออกไป
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ท้าวเธอกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน และในขณะที่กำลังจะสิ้นใจ แร้งตัวหนึ่งบินผ่านมาพร้อมกับกระดูกแหลมคม มันเผลอทำกระดูกตกลงมาตรงดวงตาซ้ายของพระองค์ ดวงตาทั้งสองแตกละเอียด พระองค์สิ้นพระชนม์ในที่สุดก่อนสิ้นใจ พระองค์รำพึงว่า"อาจารย์ของเรากล่าวไว้ถูกต้องแล้ว เราทำกรรมใดไว้ ก็ต้องได้รับผลกรรมนั้น เหมือนหว่านพืชเช่นใด ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น"
ปุโรหิตปิงคิยะซึ่งเป็นต้นคิดของแผนการอำมหิตนี้ เมื่อเห็นพระราชาสิ้นพระชนม์ ก็ถูกประชาชนขับไล่และได้รับจุดจบอันน่าเวทนาเช่นกันพระพุทธเจ้าทรงสรุปว่า
"ดูเถิดภิกษุทั้งหลาย! คนที่ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่ว คนที่ทำกรรมดีย่อมได้รับผลแห่งกรรมดี เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไป ผลย่อมงอกงามตามพันธุ์ที่ปลูก"
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น โพธิราชกุมาร
ปิงคิยปุโรหิตได้เป็น พระเทวทัต
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.