อรรถกถา สัพพทาฐิชาดก
ว่าด้วย ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้
ในครั้งพุทธกาล ขณะที่พระพุทธองค์ประทับ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร พระองค์ทรงปรารภเรื่องของพระเทวทัต ผู้ซึ่งเคยได้รับลาภสักการะมากมายจากพระเจ้าอชาตศัตรูแต่กลับไม่อาจรักษามันไว้ได้ เมื่อครั้งที่พระเทวทัตพยายามลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าโดยปล่อยช้างนาฬาคิรีเข้าใส่ พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ทำให้ช้างเชื่องลง ลาภสักการะของพระเทวทัตจึงเสื่อมสิ้นไปในบัดนั้น
วันหนึ่ง เหล่าภิกษุพากันสนทนาเรื่องนี้ในโรงธรรมว่า "พระเทวทัตนั้นแม้จะเคยได้รับลาภสักการะมากมาย แต่สุดท้ายก็มิอาจรักษามันไว้ได้" พระพุทธองค์เสด็จมาและตรัสถามว่า "พวกเธอกำลังสนทนาเรื่องอะไร?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระองค์จึงตรัสว่า "เทวทัตมิใช่เพิ่งสูญเสียลาภในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตกาลเขาก็เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน" แล้วจึงทรงนำเรื่องราวในอดีตมาตรัสเล่าเป็นชาดก ดังนี้
ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์ พระโพธิสัตว์ในครั้งนั้นเป็นปุโรหิตผู้เฉลียวฉลาด รอบรู้ไตรเพทและศิลปวิทยาทั้ง 18 แขนง โดยเฉพาะ "ปฐวีวิชัยมนต์" มนต์วิเศษที่สามารถบังคับจิตใจผู้อื่นได้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ตั้งใจสาธยายมนต์นี้บนแผ่นหิน ณ เนินเขา เพราะเชื่อว่าผู้มีจิตใจวอกแวกย่อมไม่อาจสำเร็จมนต์นี้ได้ ขณะสาธยายมนต์นั้นเอง สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในโพรงไม้ ได้แอบฟังมนต์และจดจำมันได้ขึ้นใจ
เมื่อพระโพธิสัตว์สาธยายมนต์จบลงและเดินจากไป สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นก็ออกมาจากโพรงและร้องว่า "ท่านพราหมณ์! มนต์นี้ข้าเรียนรู้เร็วกว่าท่านเสียอีก!" แล้วมันก็วิ่งหนีไป
พระโพธิสัตว์รู้ทันทีว่าสุนัขจิ้งจอกนี้จักนำมนต์ไปใช้ในทางที่ผิดจึงรีบติดตาม แต่ไม่ทัน มันหนีหายเข้าไปในป่าเสียแล้วสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นนำมนต์วิเศษไปใช้กับเหล่าสัตว์ในป่า เริ่มจากนางสุนัขจิ้งจอก แล้วขยายอำนาจไปสู่สัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า สิงโต เสือ กระต่าย หมูป่า และกวาง มันใช้มนต์สะกดสัตว์ทุกตัวให้สยบต่อมัน
ในไม่ช้า สุนัขจิ้งจอกกลายเป็นพญาแห่งสัตว์ทั้งปวง ได้รับขนานนามว่า "สัพพทาฐะ" อัครมเหสีของมันคือนางสุนัขจิ้งจอกผู้ภักดี มันขึ้นขี่บนหลังราชสีห์ ขณะที่ราชสีห์ยืนตระหง่านอยู่บนหลังช้างสองเชือก ขบวนแห่งสัตว์ของมันยาวถึง 12 โยชน์ นับเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสัตว์ พญาสุนัขจิ้งจอกเมามัวในอำนาจและปรารถนาจะยึดครองกรุงพาราณสี จึงนำกองทัพสัตว์บุกมาถึงชายเมือง ส่งสาส์นถึงพระราชาว่า "จงมอบราชสมบัติให้เราเสียโดยดี มิฉะนั้น จงเตรียมตัวรบ!"
ชาวเมืองต่างหวาดกลัว พากันปิดประตูเมืองตั้งรับ พระราชาเองก็ทรงวิตก พระโพธิสัตว์จึงเข้าเฝ้าทูลว่า "ขอพระองค์อย่าได้หวั่นวิตก การรบนี้หม่อมฉันจักจัดการเอง"แล้ววางแผนรับมือ
พระโพธิสัตว์ขึ้นไปบนป้อมเมืองและตะโกนถามสัพพทาฐะว่า "เจ้าจะทำเช่นไรจึงจะได้ราชสมบัติ?" พญาสุนัขจิ้งจอกตอบว่า "เราจะให้ราชสีห์แผดเสียงกึกก้อง จนชาวเมืองตกใจกลัวสิ้นใจ แล้วเราจะเข้ายึดครองเมือง! " พระโพธิสัตว์รู้ว่าเสียงสีหนาทของราชสีห์นั้นร้ายแรงมาก จึงให้ชาวเมืองทุกคนเอาแป้งถั่วราชมาศอุดหูตนเองและสัตว์เลี้ยงทั้งหมด แม้แต่แมวก็ไม่เว้นจากนั้น พระโพธิสัตว์ตะโกนท้าอีกว่า "ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสั่งราชสีห์ได้จริง จงให้มันเปล่งเสียงดูสิ!"
สัพพทาฐะจึงให้สัญญาณราชสีห์ที่มันขี่อยู่ ราชสีห์อ้าปากแผดเสียงสนั่นหวั่นไหว เสียงกึกก้องนั้นทำให้เหล่าช้างที่แบกพญาสุนัขจิ้งจอกตกใจสุดขีด พวกมันสะบัดตัวอย่างแรงจนจิ้งจอกสิ้นชีพร่วงลงมา และถูกเหยียบจนสิ้นชีพ ณ ที่นั้นเอง เมื่อเหล่าสัตว์เห็นผู้นำของตนตาย ต่างก็แตกตื่นอลหม่าน ช้างวิ่งพล่านแทงกันเอง สัตว์ทั้งหลายล้มตายเป็นจำนวนมาก เหลือเพียงราชสีห์ที่หนีเข้าป่าไป พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงให้เปิดประตูเมือง และประกาศให้ชาวเมืองมาเก็บเนื้อสัตว์ไปเป็นเสบียง นับแต่นั้นเป็นต้นมา
สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในครั้งนี้
พระราชาได้เป็น สารีบุตร
ส่วนปุโรหิต คือ เราตถาคต นี้แล.